วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

วัฏฏกาชาดก-ว่าด้วยอำนาจแห่งการตั้งสัตยาธิษฐาน

เป็นเรื่องของการอธิษฐานจิต ด้วยใจที่เป็นสมาธิ(Meditation)ระลึกนึกถึงบุญที่เคยกระทำมาในทุกๆ บุญ

 ลูกนกคุ่มผู้ซึ่งรอดชีวิตจากไฟป่าด้วยการตั้งสัตยาธิษฐาน
    ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาลพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จไปยังชนบทแห่งหนึ่งในแคว้นมคธ พระพุทธองค์ทรงนำหมู่ภิกษุสงฆ์ไปในป่าลึกเพื่อแสวงหาที่สงบ กระทำรุกขมูล เจริญภาวนาสู่วิถีแห่งวิโมกขธรรมดังเคยปฏิบัติแต่นานมา ขณะนั้นบริเวณป่าที่หมู่สงฆ์เจริญภาวนาอยู่นั้นได้เกิดไฟไหม้ลุกลามขึ้นจากแนวไฟเล็กน้อยเพิ่มบริเวณเป็นมหันตภัยเป็นบริเวณกว้าง
พระภิกษุสงฆ์สาวกแห่งองค์พระศาสดา ได้เจริญภาวนา ณ ป่าใหญ่แห่งหนึ่งในแคว้นมคธ
พระภิกษุสงฆ์สาวกแห่งองค์พระศาสดาได้เจริญภาวนา ณ ป่าใหญ่แห่งหนึ่งในแคว้นมคธ
    และในเวลาไม่ช้าไฟป่าก็โหมเข้าล้อมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและภิกษุทั้งหลายไว้โดยรอบ มิเห็นช่องทางจะออกมาได้เลย ภิกษุรอบนอกได้กลิ่นควันและรู้สึกร้อนจึงพากันหยุดภาวนา “ท่าน..ได้กลิ่นเหม็นบ้างหรือเปล่า” “ใช่ๆๆ กลิ่นเหม็นใกล้เข้ามาทุกที” “ผิวกายนี่ร้อนผ่าวเหมือนยืนหน้าเตาไฟ เอ๊ะ!...หรือว่าไฟไหม้ป่า”
ไฟป่าลุกไหม้โหมล้อมพระศาสดาและหมู่พระภิกษุสงฆ์
ไฟป่าลุกไหม้โหมล้อมพระศาสดาและหมู่พระภิกษุสงฆ์
    “นั่นไงท่าน ไฟลุกไหม้อยู่ทางโน้นจริงๆ ด้วย เร็วๆ เข้าหนีไปทางโน้นกันเถอะ” “นั่นเสียงใครดังอยู่ข้างนอก เอะอะโวยวายอะไรกัน” “นั่นไฟไหม้นี่ แย่แล้ว ไฟมันลามเข้ามาทางนี้ด้วย หนีกันเถอะ” “โอ๊ะ.. แย่แล้วไฟไหม้หนีเร็ว” ในไม่ช้าพระสงฆ์ทุกรูปก็หนีมารวมกลุ่มกันกลางวงล้อมของไฟ ทุกรูปหวาดกลัวและมองหาทางหลบหนี
พระภิกษุที่อยู่บริเวณรอบนอกเริ่มได้กลิ่นควันไฟ ฟุ้งตลบไปทั่วบริเวณป่า
พระภิกษุที่อยู่บริเวณรอบนอกเริ่มได้กลิ่นควันไฟฟุ้งตลบไปทั่วบริเวณป่า
    “ไฟป่าช่างน่ากลัวเกิน แล้วนี่พวกเราจะหนีไปทางใดละนี่” “โอ้..ร้อนจริงๆ เลย เหม็นกลิ่นควันด้วย” “โห้..ท่านมองทางนั้นซิ ไฟลุกลามไหม้ต้นไม้ใหญ่แล้ว” “ทำยังไงดีละพวกเรา ไฟป่าลามเข้าจะถึงตัวเราแล้ว” “ใครก็ได้ช่วยหยุดไฟป่าพวกนี้ที” “เราช่วยกันหาอะไรมาขวางกันไว้ดีไหม๊ อย่างน้อยไฟจะไหม้มาทางเราช้าลง”
ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งได้ร้องบอกเพื่อนภิกษุทั้งหลาย ว่าไฟป่ากำลังลุกไหม้บริเวณรอบนอก
ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งได้ร้องบอกเพื่อนภิกษุทั้งหลายว่าไฟป่ากำลังลุกไหม้บริเวณรอบนอก
    “หยุดมันได้จริงหรือท่าน เรานะกลัวว่ามันจะยิ่งลามเข้ามานะซิ” “ดีกว่าอยู่เฉยๆ หรือจะเอาไฟไปจุดเพื่อให้ไฟกับไฟปะทะกันก็น่าจะพอหยุดยั้งได้บ้างนะ” “ช้าก่อนเถิดพวกเราต้องไม่ลืมว่ากำลังตามเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้มากยิ่งในพระบารมีอยู่” “นั่นซิน่ะ พระองค์ต้องช่วยเราได้แน่ๆ” “ถูกแล้วเราจึงไม่ควรทำสิ่งใดโดยพละการดังเหมือนไม่เคารพในพระองค์
เหล่าภิกษุทั้งหลายต่างพากันตื่นตกใจกับไฟป่าที่เกิดขึ้น,Jataka
เหล่าภิกษุทั้งหลายต่างพากันตื่นตกใจกับไฟป่าที่เกิดขึ้น
    ซึ่งอุปมาว่าอยู่ภายใต้พระจันทร์และพระอาทิตย์ แต่มองไม่เห็นแสงสว่างเช่นนี้” “แล้วท่านจะให้เราทำเช่นไร ไฟลุกไหม้เข้ามาทุกทีแล้ว หากเราไม่ทำการแก้ไข ไฟอาจจะลุกไหม้ถึงพระองค์ได้” “ไม่หรอกน่าท่าน เราควรไปเฝ้าพระบรมศาสดา ขอพระบารมีมาดับทุกข์ร้อนครั้งนี้กันดีกว่า” “อือ..งั้นเรารีบไปเข้าเฝ้าพระศาสดากันเถิด”
ภิกษุทั้งหลายต่างตกอยู่ในวงล้อมของไฟป่า ที่ลุกลามใกล้เข้ามา
ภิกษุทั้งหลายต่างตกอยู่ในวงล้อมของไฟป่าที่ลุกลามใกล้เข้ามา
    ภิกษุทั้งหลายเมื่อได้สติ ก็พากันทำสมาธิไว้มิให้ตกใจตื่นกลัว จากนั้นก็พากันไปเฝ้าพระพุทธองค์ซึ่งประทับอยู่ ณ กึ่งกลางวงล้อมไฟป่าเช่นกัน ในตอนนั้นเปลวไฟไหม้โหมหนักขึ้นเพราะแรงลมจัด แต่เมื่อไฟโชนเข้าไปใกล้ที่พระพุทธองค์ประทับ ทันใดนั้นไฟอันประทุโชติช่วงกลับหยุดสนิทดับสิ้นดุจคบเพลิงที่จุ่มลงน้ำแล้วดับวูบลง
ภิกษุทั้งหลายพากันทำสมาธิ เพื่อไม่ให้ตื่นตกใจกับไฟป่าที่เกิดขึ้น
ภิกษุทั้งหลายพากันทำสมาธิเพื่อไม่ให้ตื่นตกใจกับไฟป่าที่เกิดขึ้น
    แผ่กว้างเป็นรัศมีรายรอบประมาณ 5 เซนติเมตร พระภิกษุทั้งหลายเห็นพระพุทธบารมีเช่นนั้นก็พากันสรรเสริญโดยเคารพ “ทรงมีอานุภาพนัก แม้ไฟป่าซึ่งเป็นธรรมชาติก็ไม่อาจไหม้มาถึงที่ประทับได้เลย” “ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ สาธุ” พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อได้สดับถ้อยคำดังนั้น จึงทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ เมื่อครั้งเคยผจญอัคคีในป่าใหญ่แห่งนี้ขึ้น
ไฟป่าโหมลุกไหม้ ใกล้องค์พระศาสดาเข้ามาทุกที,วัฏฏกาชาดก
ไฟป่าโหมลุกไหม้ใกล้องค์พระศาสดาเข้ามาทุกที
    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลายการที่ไฟไหม้เข้ามาถึงบริเวณนี้แล้วดับลงเองนั้น มิใช่เป็นเพราะอานุภาพของตถาคตในบัดนี้ แต่เป็นเพราะอำนาจแห่งสัตยาธิษฐานของตถาคตในชาติก่อนโน้น และนับแต่ชาตินั้นมาที่บริเวณนี้ ไฟจักไม่ไหม้เป็นอันขาด และจะเป็นเช่นนี้ตลอดกัป” อดีตกาล ณ ผืนป่าใหญ่ในมคธรัฐแห่งนี้
ไฟป่าดับลงทันทีเมื่อลุกไหม้เข้ามา ใกล้ที่ประทับขององค์พระศาสดา
ไฟป่าดับลงทันทีเมื่อลุกไหม้เข้ามาใกล้ที่ประทับขององค์พระศาสดา
  
    ยังมีนกคุ่มคู่หนึ่งสร้างรังอยู่กลางพื้นโดยมีผืนป่าโอบล้อมไว้รายรอบ “อยู่ในนี้นะจ๊ะลูก แม่จะฟักเจ้าให้เติบโตเป็นนกที่แข็งแรง” พ่อนกเมื่อกลับมาจากหาอาหาร ก็มาเฝ้าดูแม่นกกกไข่ทุกวัน “แม่จ๋า พ่อกลับมาแล้ว วันนี้ลูกเป็นยังไงบ้างละจ๊ะแม่” “จวนจะออกมาจากไข่แล้วละจ๊ะพ่อ” “ฮ้า.ดีใจจังเลย เราจะได้เห็นหน้าลูกของเราแล้วนะจ๊ะแม่” “ใช่จ๊ะพ่อ”
พระศาสดาทรงตรัสเล่า วัฏฏกาชาดก ซึ่งเป็นเหตุ ในอดีตที่ทำให้ไฟมอดดับลงอย่างน่าอัศจรรย์
พระศาสดาทรงตรัสเล่า วัฏฏกาชาดก ซึ่งเป็นเหตุในอดีตที่ทำให้ไฟมอดดับลงอย่างน่าอัศจรรย์
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม วัฏฏกาชาดก ว่าด้วยการตั้งสัตยาธิษฐาน
    พ่อนกและแม่นกต่างก็ตื่นเต้น ใจจดใจจ่อรอดูหน้าลูก แต่แล้วชะตาร้ายก็มาเยือน เมื่อวันหนึ่งมีไฟไหม้ป่า ในวันเดียวกันนี้เอง ลูกนกคุ่มตัวน้อยก็ฟักออกจากไข่ “อึบ..อ้า..ออกมาได้แล้ว พ่อจ๋าแม่จ๋าลูกออกมาแล้ว” น่าสลดใจยิ่งนักพ่อนกและแม่นกได้ทิ้งลูกน้อยบินหนีไฟไปเสียแล้ว พ่อนกแม่นกมิรู้เลยว่าลูกน้อยที่เค้าทั้งสองเฝ้าคอยชื่นชมนั้นได้ออกมาจากไข่แล้ว
นกคุ่มสามีภรรยาพร้อมลูกน้อยที่ยังไม่ออกจากไข่ อาศัยอยู่ในรังอย่างมีความสุข
นกคุ่มสามีภรรยาพร้อมลูกน้อยที่ยังไม่ออกจากไข่อาศัยอยู่ในรังอย่างมีความสุข
    “หนีก่อนเถอะแม่ เราน่ะ เอาลูกไปด้วยไม่ได้หรอก ลูกยังไม่ออกจากไข่เลย” “ลูกแม่ แม่ขอโทษนะลูก ฮือๆๆ” ลูกนกคุ่มช่างน่าสงสารเพิ่งออกจากไข่แท้ๆ ขนก็ยังขึ้นไม่เต็มตัว ปีกยังไม่กล้า ขายังไม่แข็ง แต่ต้องเผชิญหน้ากับไฟป่าเช่นนี้ ดังถูกทิ้งให้รอความตาย “ฮือๆๆ พ่อจ๋า แม่จ๋า ฮือๆ นี่ถ้าปีกเรามีขนพอจะบินได้ เราก็คงจะบินหนีไป
เกิดไฟไหม้ลุกลามเข้ามาใกล้บริเวณรัง ของนกคุ่มซึ่งลูกนกกำลังออกมาจากไข่
เกิดไฟไหม้ลุกลามเข้ามาใกล้บริเวณรังของนกคุ่มซึ่งลูกนกกำลังออกมาจากไข่
    ถ้าเท้าและขามีแรงพอก็จะเดินหนีไปไม่รอความตายอยู่เช่นนี้” ลูกนกคุ่มอนาจกับชะตาชีวิตของตนมองดูร่างอันกระจ้อยร้อย ไม่มีขน ไม่มีแรงจะบิน และเดินหนีกองไฟอันมหึมาได้ “ฮือๆๆ ดูเอาเถิด แม้แต่พ่อแม่ของเรา ยังทิ้งเราเพื่อเอาชีวิตรอด ฮือๆ เราไม่มีที่พึ่งใดๆ อีกแล้ว ฮือๆๆ”
นกคุ่มบินหนีจากรังเพราะเกิดไฟป่าลุกไหม้ลามบริเวณรังที่อาศัยของตน,ชาดก500ชาติ
นกคุ่มบินหนีจากรังเพราะเกิดไฟป่าลุกไหม้ลามบริเวณรังที่อาศัยของตน
    ด้วยอานิสงส์แห่งความดีที่ได้ตั้งใจทำมานับภพนับชาติไม่ถ้วน ทำให้ลูกนกคุ่มคุมสติได้โดยดี ซ้ำยังระลึกถึงศีลและสัจจะได้ว่ามีอยู่จริง มีอยู่คู่โลกตลอดมา “เมื่อไม่มีใครช่วยก็คงต้องช่วยตัวเอง” ลูกนกคุ่มระลึกถึงคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีต  คุณของพระธรรม คุณแห่งศีลที่มีอยู่ในโลกขึ้นทำสัตยาธิษฐาน
ลูกนกคุ่มถูกทิ้งอยู่ในรังไม่สามารถบินหนีไฟได้ เพราะเพิ่งออกจากไข่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้
ลูกนกคุ่มถูกทิ้งอยู่ในรังไม่สามารถบินหนีไฟได้เพราะเพิ่งออกจากไข่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้
    “ปีกของเรามีอยู่ แต่บินไม่ได้ เท้าทั้งสองมีอยู่ก็เดินไม่ได้ พ่อแม่เรามีอยู่แต่บินหนีไป ด้วยสัจจะวาจานี้ไฟเอ๋ยจงถอยกลับไปเสียเถิด อย่าได้ทำอันตรายแก่เราและสัตว์ทั้งหลายเลย” ด้วยบุญบารมีที่ลูกนกคุ่มเคยบำเพ็ญมานับภพนับชาติไม่ถ้วน และด้วยแรงอธิษฐานนี้
ลูกนกคุ่มนึกถึงบุญบารมีที่เคยกระทำมา แล้วตั้งจิตอธิษฐานขอให้ไฟมอดดับลง
ลูกนกคุ่มนึกถึงบุญบารมีที่เคยกระทำมาแล้วตั้งจิตอธิษฐานขอให้ไฟมอดดับลง
ลูกนกคุ่มทำใจให้ใสบริสุทธิ์ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ระลึกถึงบุญบารมี คุณแห่งศีลและสัจจะของตนที่เคยกระทำมา ก่อนที่จะทำสัตยาธิษฐาน
    เปลวไฟที่ลุกไล่เข้ามาจึงดับสนิทลงทันทีทันใด และด้วยแรงอธิษฐานนั้นป่าในรัศมีห้าเส้นจากรังนกคุ่มบริเวณนี้ จึงมิเคยมีอันตรายจากไฟป่าแม่แต่สักครั้ง สืบมาจนถึงพุทธกาลสมัย เมื่อจบพระธรรมเทศนาแล้ว พระพุทธองค์ทรงแสดงอริยะสัจ 4_โดยเอนกปริยาย
ด้วยแรงอธิษฐานของลูกนกคุ่มทำให้ไฟป่ามอดดับลงอย่างอัศจรรย์
ด้วยแรงอธิษฐานของลูกนกคุ่มทำให้ไฟป่ามอดดับลงอย่างอัศจรรย์
  
    ภิกษุในที่นั้นบังเกิดความปรีดาปราโมทย์ต่อการสดับพระธรรมนั้น เข้าถึงกายธรรมอันลุ่มลึกโดยทั่วถ้วน
ในสมัยพุทธกาลพ่อแม่ของลูกนกคุ่ม กำเนิดเป็น
พระเจ้าสุทโธธนะและพระนางสิริมหามายาพระพุทธบิดาพระพุทธมารดา
ลูกนกคุ่ม เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า

CR : http://dmc.tv/a12040