โคดำอัยยักกาฬะผู้มีความกตัญญูรู้คุณอย่างยิ่ง
ในอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของมคธรัตนนั้น มีความยิ่งใหญ่และสำคัญยิ่งของพุทธศาสนาควบคู่อยู่ด้วยกันหลายประการ หนึ่งในนั้นคือ พระเวฬุวณาราม ซึ่งเป็นวัดแห่งแรกของพระพุทธศาสนาก็ได้สร้างขึ้น
เวฬุวณาราม วัดแห่งแรกของพระพุทธศาสนา
ณ ดินแดนแห่งนี้ โอวาทปาฏิโมกข์ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่อริยสาวก 1,250_รูป และการบัญญัติพระธรรมวินัยในหลายสิกขาบท พระสูตรอีกมากมายก็ล้วนถือกำเนิดขึ้นที่วัดนี้ทั้งสิ้น รวมทั้งบัญญัติห้ามพระภิกษุสงค์อวดอุตริมนุษธรรมหรือก็คือการห้ามอวดอ้างหรือแสดงปาฏิหาริย์ใดๆ ซึ่งในพุทธสมัยปัจจุบันยังคงพบเห็นกันอยู่นี้ องค์สมเด็จพระศาสดาก็ทรงบัญญัติตรัสห้ามไว้
พระพุทธองค์โปรดให้ประชุมสงฆ์ในพระเวฬุวันมหาวิหาร
ณ ที่แห่งนี้เช่นกัน เหตุเพราะครั้งนั้นได้มีพระอรหันต์รูปหนึ่งได้เหาะเหินเดินอากาศให้ชาวนครราชคฤห์เห็นจนเกิดการเล่าขานเป็นที่ร่ำลือจนแตกตื่นขึ้นมิเป็นอันสงบ พระพุทธองค์สดับเหตุดังนี้แล้วก็โปรดให้ประชุมสงค์ขึ้นในพระเวฬุวันมหาวิหารแล้วตรัสถามเหตุจากพระพุทธอนุชา คือ พระอานนท์ ว่า "บัดนี้มีพระอรหันตสาวกแสดงปาฏิหาริย์จนเป็นเหตุให้แตกตื่น
พระอานนท์ได้กล่าวแจ้งถึงเหตุการณ์ที่พระอรหันตสาวกแสดงปาฏิหาริย์ต่อพระพุทธองค์
สาวกผู้กระทำการเช่นนั้น คือใครกันเล่า" "ภิกษุผู้แสดงปาฏิหาริย์นั้นคือ พระปิณโทละพระเจ้าค่ะ ได้เหาะขึ้นไปยกเอาบาตรไม้จันทร์บนปลายไม้สูงให้ราชคหเศรษฐีได้ประจักษ์ในฤทธิ์พระอรหันต์ ในพระพุทธศาสนาเท่านั้นพระเจ้าค่ะ" แต่เมื่อทำโกลาหลขึ้นแก่ชาวเพระปิณโทละอดีตพราหมณ์ผู้มีฤทธิ์นั้นเมืองพระพุทธองค์ก็ทรงตำหนิ
พระปิณโทละผู้แสดงปาฏิหาริย์จนเป็นเหตุให้ปวงชนแตกตื่น
พระพุทธองค์ก็ทรงบัญญัติสิกขาบทว่าด้วยการห้ามภิกษุกระทำปาฏิหาริย์อวดอุตริมนุษธรรมอีกต่อไป ทั้งมิทรงอนุญาตให้ภิกษุใช้บาตรอื่นใดนอกจากบาตรเหล็ก บาตรดินเผาตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ในครั้งนั้นเหล่าเดียรถีย์ที่มุ่งร้ายต่อพระพุทธศาสนา ทราบข่าวก็คิดทำลายเกียรติคุณพระสมณโคดม พากันปล่อยข่าวท้าทายให้ทรงสำแดงอิทธิฤทธิ์แข่งขันกับตน
พระพุทธองค์ทรงตำหนิพระปิณโทละในการกระทำปาฏิหาริย์ต่อปวงชน
โดยมีบูรณกัสสปะเป็นแกนนำออกหน้าประกาศจะตามท้าทายพระพุทธองค์ไปทุกหนแห่งไป "โฮะๆๆ ฮ้าๆ พระโคดมบัญญัติห้ามมิให้เหล่าสาวกแสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ ฮ้าๆ ฮ้าๆ ดูทีรึจะกล้าแหกกฎมารับคำท้าทายจากเรา ฮ้าๆ ฮ้าๆ"
เหล่าเดียรถีย์ผู้มุ่งทำลายเกียรติคุณของพระบรมศาสดา
"เอาเลยลูกพี่ ถึงคราวของเราแล้ว ว่าแต่ลูกพี่จะงัดอะไรออกมาอวดละเนี่ย" "อ้า..ใช่ๆๆๆ ข้ายังไม่รู้เลยว่าลูกพี่มีอะไรดี" ข่าวนั้นแพร่สะพัดอย่างรวดเร็วจนล่วงรู้ถึงพระเจ้าพิมพิสารให้ร้อนรนพระทัยจนต้องรุดมาเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา แต่ต้องแปลกพระทัยเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมโพธิญาณตรัสรับคำท้าทายของเดียรถีย์
บูรณกัสสปะแกนนำของเหล่าเดียรถีย์
"ข้าแต่พระพุทธองค์ผู้เจริญบูรณกัสสปะเดียรถีย์ช่างบังอาจนักเห็นสบโอกาสทำทีมาท้าทายพระพุทธองค์ด้วยหมายจะทำลายพระเกียรติคุณของพระองค์พระเจ้าคะ" "เมื่อบูรณกัสสปะเดียรถีย์ต้องการเช่นนั้น เราก็จะรับคำท้านั้น" "แต่พระพุทธเจ้าข้าหากพระพุทธองค์รับคำเช่นนี้มิเป็นการเสียวาจาแห่งพระองค์หรือพระเจ้าข้า"
เหล่าเดียรถีย์กระจายกำลังโค่นต้นมะม่วงในเขตนครสาวัตถี
"มหาบพิตรจงฟัง อันเรานี้ห้ามสาวกมิให้แสดงปาฏิหาริย์ มิได้ห้ามตัวเราเองแสดง ท่านอย่าได้หวั่นวิตกไปเลย เราจะใช้มะม่วงแสดงปาฏิหาริย์ให้ประจักษ์" "อืม...หม่อมฉันเข้าใจแล้ว ดุจพระองค์ห้ามเก็บผลไม้ในอุทยาน ก็หมายถึงห้ามผู้อื่นนั่นเอง" "มหาบพิตรเข้าใจถูกแล้ว"
เหล่าเดียรถีย์สร้างหอสูงไว้กลางสถานที่ประลองฤทธิ์
ครั้นในคืนวันเพ็ญเดือนแปดเราจะแสดงปาฏิหาริย์ ณ สามัควัตถีนครแคว้นโกศล พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบดีว่า ณ ที่นั้นคือพุทธสถานที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ทรงใช้แสดงมหาปาฏิหาริย์มาก่อน ก็มิได้ทรงคิดค้านอีกต่อไป ฝ่ายเดียรถีเจ้าเล่ห์ เมื่อทราบว่าพระพุทธองค์ตรัสรับคำท้าทายก็ตกใจเราะคาดไม่ถึง
มีผู้อาสาขออนุญาตแสดงฤทธิ์แข่งกับพวกเดียรถีย์แทนพระบรมศาสดา
ครั้นรู้ว่าพระองค์ดำริแสดงฤทธิ์ด้วยมะม่วง ก็พากันรวบรวมพรรคพวกให้ไปทำลายตัดโค่นต้นมะม่วงในเขตนครสาวัตถีจนหมดสิ้น “เฮ้ย..คิดไม่ถึงเลยว่าพระโคดมจะกล้าตบปากรับคำท้าเรา แต่ก็ดีแล้ว แต่เอ้..พระองค์จะให้มะม่วงแสดงปาฏิหาริย์นี่นะ” “ใช่ๆ คิด คิดแล้วข้าก็ยัง งงๆ เลย จะเอามะม่วงมาแสดงปาฏิหาริย์ยังไงกัน”
พระพุทธองค์ทรงอธิบายถึงเหตุในการตรัสรับคำท้าของพวกเดียรถีย์
“จะยังไงก็ช่าง พวกเจ้านะไปกะเกณฑ์พวกเราให้ไปโค่นต้นมะม่วงในเขตนครสาวัตถีให้เกลี้ยงนะ” “ได้เลยเรื่องใช้แรงใช้กำลังเนี่ยขอให้บอก แต่ถ้าใช้ความคิดละก็ โอ๊ย..ปวดหัว แฮะๆๆ” “เอ้า เห้ย..ไปพวกเรา” “แฮะๆๆ เอ้า...ฟันๆๆ ฟันกันไป โค่นให้เรียบ เกลี้ยง แฮะๆๆ ต้นเล็กต้นน้อยลุงฟันเรียบไม่มีเหลือ”
พระพุทธองค์วางเม็ดมะม่วงลงพื้นดินแล้วประทานน้ำจากพระหัตถ์
บูรณกัสสปะเดียรถีย์จอมเจ้าเล่ห์ยังได้ออกเรี่ยรายหาทุนสร้างหอสูงเพื่ออวดบารมีไว้กลางสถานที่ประลองฤทธิ์ "ฮะๆ ฮะๆ โฮ้ย..ไม่มีต้นมะม่วงให้สำแดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์แล้ว แต่กลับมาเจอหอสูงลิ่วของเราเข้าให้ ดูซิพระโคดมจะทำหน้ายังไง จะยังดื้อด้านแข่งขันกับเราหรือจะยอมแพ้แต่ไปแต่โดยดี ฮุๆ ฮู้" "ฮิ ฮิ ฮิ มีหอสูงคู่บารมีซะด้วย เท่จริงๆ เลยลูกพี่เราเนี่ย”
เม็ดมะม่วงแตกยอด ผลิใบอย่างรวดเร็ว
ครั้นเมื่อถึงวันกำหนดในวันเพ็ญเดือนแปดนั้น บรรดาภิกษุสงฆ์ทั้งหลายต่างออกหน้าอ้อนวอนขอพระพุทธานุญาตของแสดงฤทธิ์แข่งกับเดียรถีย์แทนพระพุทธองค์ แม้แต่อุบาสกบางคนก็ถึงกับแสดงฤทธิ์อวดญาณเพื่อขอพุทธานุญาติประลองแทนเช่นกัน “ข้าแต่องค์พระศาสดาให้ข้าพระองค์แสดงปาฏิหาริย์แทนเถอะพระเจ้าค่ะ” “ให้ข้าพระองค์เป็นตัวแทนเถอะพระเจ้าค่ะ พระศาสดาจะได้ไม่เสื่อมเสียพระเกียรติ” “ข้าพระองค์ก็ขออาสาด้วยพระเจ้าค่ะ” “ฮึบ..ข้าพระองค์เหาะเหินเดินอากาศได้ ให้ข้าพระองค์ประลองแทนเถิดพระเจ้าค่ะ ข้าจะได้สั่งสอนเดียรถีย์เจ้าเล่ห์พวกนี้หลาบจำจะได้รู้ที่ต่ำที่สูงซะบ้าง”
ต้นมะม่วงออกผลอย่างน่าอัศจรรย์ในชั่วพริบตา
แต่ทั้งสิ้นนั้นพระพุทธองค์ก็ทรงปฏิเสธ “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี่เป็นพุทธวิสัยของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่จะแสดงปาฏิหาริย์ครั้งหนึ่ง ณ ที่แห่งนี้ หลังตรัสรู้และประกาศพระศาสนา ครั้งนี้เป็นภาระที่ตถาคตอย่างเราต้องกระทำด้วยตนเอง ในกาลนั้นคนดูแลอุทยานของพระเจ้าโกศลให้นำมะม่วงสุกผลหนึ่งมาถวาย พระพุทธองค์ทรงรับมาฉัน แล้วนำเมล็ดออกไปยังลานดินว่างเปล่าใกล้กับหอสูงของเดียรถีย์แล้วประทานน้ำจากพระหัตถ์รถลงจนชุ่ม
ชาวเมืองต่างพากันอัศจรรย์ใจในการโตของต้นมะม่วง
ฉับพลันเม็ดมะม่วงก็ค่อยผลิใบเลี้ยง แตกยอดออกมา ตัวอ่อนก็งอกงามและเริ่มเติบโตสูงชะลูดขึ้นอย่างรวดเร็ว แตกกิ่งก้านสาขากลายเป็นต้นมะม่วงสูงใหญ่เป็นอัศจรรย์ แตกช่อผลิดอกออกผลจนสุกเหลืองให้คนทั้งอุทยานได้นำมาถวายหมู่สงฆ์ รวมถึงชาวนครสาวัตถีกันอย่างถ้วนทั่ว “ฮ้า.เป็นไปได้ไง ไม่น่าเชื่อช่างน่าอัศจรรย์ใจจริงๆเลย” “ โอโห้ เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ก็เพิ่งเคยพบเคยเห็นก็วันนี้แหละ เป็นบุญตาจริงๆ” “เป็นยังไงละพวกเดียรถีย์จ๋อยไปเลยละซิท่า ฮ้า ฮ่าๆๆ”
หอสูงของพวกเดียรถีย์พังลงท่ามกลางสายตาของมหาชน
เวลานั้นหอสูงเสาตะเคียนของพวกเดียรถีย์ก็สั่นสะเทือนแล้วทรุดพังครืนลงต่อหน้าต่อตา สร้างกับอับอายให้แก่เหล่าเดียรถีย์พวกนักบวชนอกศาสนาเป็นอย่างยิ่ง พากันหลบหน้าหนีหายไปจากลานประลองหน้ากำแพงนครสาวัตถีจนหมด แม้แต่บูรณกัสสปะแกนนำก็จำต้องยอมรับในพระบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็หลบหน้าหนีหายไปไม่มีใครมาพบพานอีก
เหล่าเดียรถีย์อับอายในความพ่ายแพ้รีบเผ่นหนีกันอย่างรวดเร็ว
“อะจื้ย..แพ้ราบคาบ พังไม่เป็นท่าเลย...น่าเจ้าเหลือแค่สองนิ้ว แล้วอย่างนี้จะไปสู้กับใครเขาได้ละ” “เจ้าก็เหมือนกันแหละ น่าอับอายจริงๆเลย อุตส่าห์คุยเอาไว้ซะเยอะ ฮื่ม..ไม่ได้เรื่องๆ" "เฮ้ย..ไม่น่าอวดดีเลยเรา หน้าแตกไม่เป็นท่าเลย อย่างนี้จะไปสู้หน้าใครเขาได้ อาศัยช่วงชุลมุนหลบไปก่อนดีกว่า ฮิ ๆ ฮิๆ"
พระพุทธองค์ทรงประทับยืนแล้วลอยขึ้นกลางอากาศ
ณ บัดนั้นคือเวลาแห่งยมกะปาฏิหาริย์ของพระพุทธศาสดา พระองค์ทรงประทับยืนแล้วค่อยลอยขึ้นกลางอากาศบังเกิดน้ำ ฟ้า รังษี รุ้ง พุ่งออกมารอบพระวรกาย ทรงเปล่งฉับพัณรังสีเป็นรัศมีเหลื่อมประภัสสรไปทั่วมหานครของแคว้นโกศล แล้วพระวรกายก็ลับหายไปบนห้วงหาว ครั้งนั้นพระอนุรุทธเถระผู้เป็นเลิศทางทิพยจักษุกล่าวว่า
พระอนุรุทธเถระผู้เป็นเลิศทางทิพยจักษุ
บัดนี้พระพุทธองค์เสด็จสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพระพุทธมารดาซึ่งไปจุติเป็นเทพบุตรในชั้นดุสิตที่สูงขึ้นไปอีกสองชั้น เมื่อครบสามเดือนพระพุทธองค์ก็จะเสด็จกลับโลกมนุษย์ทางประตูเมืองสังกัสสะ ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก พระพุทธองค์หายวับไปกับตาเลย สาธุ เกิดมาก็เพิ่งเคยพบเคยเห็นอีกเหมือนกัน ไม่น่าเชื่อเลย
พระพุทธองค์ทรงเนรมิตธรรมรังษีสว่างไสวทั่วพื้นพิภพ
ดังคำกล่าวของพระอนุรุทธการเสด็จกลับของพระพุทธองค์ได้บังเกิดปาฏิหาริย์สำคัญ ทรงเนรมิตธรรมรังษีสว่างไสวทั่วพื้นพิภพ ปรากฏสิ่งอัศจรรย์เปิดสามภพ ทั้งสวรรค์ นรก และมนุษย์ให้สามารถมองเห็นกันและกันได้ ทำให้หมดความเคลือบแคลงสงสัยในวัฏสงสาร การเวียนว่ายตายเกิด ก่อเกิดความสามัคคี มีสัมมาทิฐิกันถ้วนทั่ว ณ บัดนั้นอง และในพระเชตะวันมหาวิหารเวลาต่อมา เมื่อพระภิกษุพรรณนาถึงพระพุทธานุภาพอันมหิตทรานั้นขึ้น
หญิงหม้ายผู้หาเลี้ยงชีพด้วยการแบ่งบ้านให้คนเดินทางเช่าค้างแรม
พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสถึงกาลอดีตเมื่อเสวยพระชาติเป็นโคดำล่ำสันขึ้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายในอดีตชาติเรามีกำเนิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่ก็ยังสามารถทำกิจที่ไม่มีผู้ใดทำได้เช่นกัน เมื่อเหล่าภิกษุสงฆ์ทรงอาราทธนาให้ทรงแสดงเรื่องราวนั้นพระพุทธองค์ทรงรำลึกอดีตชาติด้วยบุพเพนิวาสนุสติญาณ นำกัณหชาดกขึ้นมาสาทกดังนี้ ครั้งหนึ่งไกลออกไปจากพระนครพาราณสี ยังมีหญิงหม้ายยากจนคนหนึ่ง หาเลี้ยงชีพด้วยการแบ่งบ้านพักให้คนเดินทางเช่าค้างแรม และรับใช้ดูแลเพื่อรับค่าจ้าง
ชายผู้มาพักค้างได้มอบลูกโคแทนค่าเช่าห้องกับหญิงหม้าย
ในคราวหนึ่งนางได้รับค่าเช่าที่พักเป็นลูกโคน้อยสีดำตัวหนึ่ง “ข้าไม่มีเงินทองจะให้ เอาลูกโตตัวนี้แทนค่าเช่าที่พักก็แล้วกันนะ” ทันทีที่เห็นหญิงหม้ายก็บังเกิดความเอ็นดูในโคน้อยนั้น จึงรับเลี้ยงไว้ และเลี้ยงดูอย่างดี จนลูกโคดำเติบโตเป็นโคหนุ่มร่างกายกำยำใหญ่โต กล้ามเนื้อเป็นมันเหลื่อม หญิงหม้ายซึ่งสูงวัยขึ้นเรียกชื่อโคนั้นว่า อัยยักกาฬะ แปลว่าโคดำของยายนั้นเอง
หญิงหม้ายรักและเอ็นดูโคดำเหมือนลูกของตนเอง
“มา มะ มากินหญ้าซะนะเจ้าอัยยักกาฬะลูกรักของแม่ เจ้านี่นับวันยิ่งน่ารัก น่าเอ็นดูจริงๆ” โคดำอัยยักกาฬะเอง แม้เป็นเพียงสัตว์เดรัจฉาน แต่ก็มีความรักและซาบซึ้งในความเมตตาของนางยิ่งนัก พยายามตอบแทนพระคุณของหญิงหม้ายอยู่เสมอ โดยมีเด็กเลี้ยงโคที่รู้ใจกันเป็นผู้หางานลากจูงมาให้ แม้สิ่งของจะหนักสักเพียงใด โคดำอัยยักกาฬะก็ลากจูงอย่างไม่ลดละจนสำเร็จอย่างง่ายดายเสมอมา
โคดำอัยยักกาฬะและมีความอดทนในการทำงานลากจูงทุกชนิด
“เอ้า..ฮึดจำบึด เจ้าโคอัยยักกาฬะเพื่อนยาก ลากเข้าไปๆ ฮ้า ฮะ ฮ้า เจ้านี่ช่างแข็งแกร่งแรงเหมือนช้างจริงๆ เฮ้ย ไม่ใช่ซิต้องแข็งแรงเหมือนโคต่างหาก" แม้นเสร็จจากการลากจูงสิ่งของเมื่อใด ก็มักมีถุงเงินค่าจ้างผูกติดเขาของมันกลับมาให้หญิงหม้ายผู้มีพระคุณอยู่เป็นนิจ “โธ่ๆ เจ้าอัยกาละหาเงินมาให้ยายอีกแล้วหรือลูก อัยยักกาฬะเอ้ย เจ้าไปออกทำงานเหนื่อยยากออกแรงลากจูงสิ่งของมาทั้งวัน คงจะเหนื่อยน่าดูละนะ มานี่มาพ่อคุณ เดี่ยวยายจะอาบน้ำหาหญ้าอ่อนๆ ให้เจ้ากินนะลูกนะ”
โคดำอัยยักกาฬะจะนำถุงเงินกลับมาให้หญิงหม้ายทุกครั้งที่กลับจากการทำงานลากจูง
ครั้งหนึ่งมีเกวียนบรรทุกสินค้าเกิดตกหล่มโคลนอยู่หลายเล่ม โคและคนของพ่อค้าไม่อาจฉุดลากขึ้นมาได้ พ่อค้าจึงประกาศหาผู้รับจ้างด้วยเงินถึง 1,000_กษาปณ์ ครั้งนั้นเด็กเลี้ยงโคก็เข้าไปตกปากรับคำ แล้วนำพ่อค้าไปหาโคดำอัยยักกาฬะจอมพลัง “นี่นะเหรอโคดำอัยยักกาฬะจอมพลังที่เจ้าว่า”
เกวียนของพ่อค้าตกหล่มโคลนไม่อาจฉุดลากขึ้นมาได้
“ใช่แล้วท่านพ่อค้า อัยยักกาฬะยอดโคดำของหมู่บ้านเรา ท่านจงพูดจากับเขาดีๆ ด้วยค่าจ้างตามที่ท่านประกาศไว้เถอะ รับรองว่าเกวียนทั้งขบวน เจ้าอัยยักกาฬะชุดลากได้แน่ๆ” พ่อค้าพอใจในลักษณะอันเลิศของโคดำอัยยักกาฬะ จึงทำตามที่เด็กเลี้ยงโคแนะนำทุกอย่าง เมื่อมาถึงที่เกวียนตกหล่มโคลน
เด็กเลี้ยงโคได้แนะนำพ่อค้าถึงความสามารถของโคดำอัยยักกาฬะ
เจ้าโคดำอัยยักกาฬะยอดกตัญญูก็รวบรวมพละกำลังทั้งหมดที่มี ฉุดลากเกวียนอย่างไม่ได้ย่อท้อใจในจำนวนเกวียน กลับมีมานะจะตอบแทนบุญคุณหญิงหม้ายด้วยชีวิต ชาวตำบลที่มาชุมนุมดู ต่างตื่นใจและคอยเอาใจช่วยลุ้นกับความพยายามของอัยยักกาฬะเอาเลยเจ้าอัยยักกาฬะจอมพลัง ออกแรงดึงเข้าไป ข้ารู้ว่าเจ้าต้องทำได้ “เฮ้ยๆๆๆ เกวียนขยับแล้ว เจ้าอัยยักกาฬะออกแรงดึงหน่อย อึบๆๆ เฮ้ย ”
โคดำอัยยักกาฬะรวมพลังฉุดลากเกวียนอย่างไม่ย่อท้อ
“โอ๊ยนี่เจ้าช่วยเจ้าอัยยักกาฬะลุ้นอยู่เรอะ ข้านึกว่าเจ้าเบ่งลูกซะอีก ตกใจหมดเลย” ฉับพลันเกวียนทั้งขบวนก็เริ่มขยับ จนในที่สุดเกวียนทั้งขบวนก็ขึ้นจากหล่มโคลนได้สำเร็จ ได้รับคำชมเชยจากชาวบ้าน รวมถึงบริวารค่าจ้างจากพ่อค้า แม้จะเหน็จเหนื่อยสักเพียงใด แต่โคดำอัยยักกาฬะก็ดั้นด้นเดินทางนำค่าจ้างที่ได้กลับไปให้หญิงหม้าย
โคดำอัยยักกาฬะหมดเรี่ยวแรงจากการฉุดลากขบวนเกวียน
ระหว่างทางต้องหยุดพักไปตลอดทาง เหตุเพราะใช้แรงไปจนหมดสิ้นแล้วนั้นเองหญิงหม้ายเมื่อทราบเรื่องก็ถึงกับหลั่งน้ำตา นางโอบกอดและหาน้ำมันสมุนไพรมาลูบไล้โคดำอัยยักกาฬะที่เลี้ยงดูมาอย่างห่วงใยพลางรำพันดุจว่ามันเป็นบุตรชายมิใช่สัตว์เลี้ยงไว้ใช้งาน เช่นเจ้านายทั่วไป “โธ่เจ้าอัยยักกาฬะลูกรัก ถึงเจ้านี้จะเป็นเพียงสัตว์เดรัจฉานแท้ๆ แต่ชังมีน้ำใจอันประเสริฐ มีความกตัญญูรู้คุณ
หญิงหม้ายซาบซึ้งใจในความกตัญญูของโคดำอัยยักกาฬะ
มาเถอะพ่อ ยายจะเอาน้ำสมุนไพรมาทาให้เจ้า คลายความเหนื่อยล้านะพ่อ" กาลเวลาต่อมาอีกหลายปีทั้งหญิงหม้ายและโคดำก็สิ้นอายุขัยจากโลกมนุษย์และยังผูกพันคอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันอีกในชาติภพต่อๆ มา ดุจกันกับคนเราที่ผ่านพบคบหาและช่วยเหลือกันในทุกวันนี้
ในพุทธกาลสมัยหญิงหม้าย กำเนิดเป็น พระอุบลวรรณาเถรี
โคดำอัยยักกาฬะ เสวยพระชาติเป็น องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
credit : http://dmc.tv/a10516