วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

กิงฉันทชาดก-ชาดกว่าด้วยโทษที่ฉกฉวยเอาประโยชน์ของคนอื่น


ปุโรหิตผู้ฉ้อฉล คดโกง ตัดสินคดีความด้วยสินบน
    ในความยาวนานเป็นอสงไขยแห่งห้วงอนันตจักรวาลนี้ ทุกชีวิตล้วนเคยเกิดและตายมานับครั้งไม่ถ้วนจนกระดูกของคนนับได้ว่ากองเท่าภูเขาและสูงใหญ่ได้เท่ากับผู้อยู่ใกล้ตัวที่ต้องร่วมกรรมต้องกันมาทุกชาติทุกชีวิต มีความเป็นไปเช่นนี้เหมือนกันหมด
กระดูกของมนุษย์กองเท่าภูเขา
กระดูกของมนุษย์กองเท่าภูเขา
    เหตุดังนี้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรม กรรมนี้มองไม่เห็นแต่ให้แสงสว่างและความมืดมนแก่เราได้ เหมือนเช่นไฟฟ้านั่นเอง บุรุษผู้ประพฤติกุศลกรรมคือทำความดี
ชีวิตมนุษย์ในสังสารวัฏ
ชีวิตมนุษย์ในสังสารวัฏ
    เมื่อดับชีวิตลงในโลกมนุษย์แล้ว บุญซึ่งเป็นผลได้จากการทำงานและสร้างความดีต่อผู้อื่นก็จะส่งให้ไปจุติในภพภูมิใหม่ที่ดี คือสรวงสวรรค์ชั้นต่างๆ ตามกระแสบุญ สตรีก็ไม่ได้แตกต่างกัน การจุติคือเกิดทันทีที่สิ้นชีวิตอันเป็นปกติของสังสารวัฏ ก็จะอยู่ในการควบคุมของบาปและบุญเช่นกัน
ผู้ก่อกุศลกรรมดีไว้ในโลกมนุษย์จะจุติเป็นเทพบุตรและเทพธิดา
ผู้ก่อกุศลกรรมดีไว้ในโลกมนุษย์จะจุติเป็นเทพบุตรและเทพธิดา
    เทพอัปสรหรือเหล่านางฟ้า ธิดาสวรรค์ชั้นต่างๆ จึงล้วนจุติขึ้นมาได้เพราะการก่อกุศลกรรมทำดีไว้ในโลกมนุษย์ ในทางกลับกันผู้กระทำความชั่ว คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว กรณีต่างๆ เมื่อสิ้นชีวิตก็จะตก ลงยังอบายภูมิ
ผู้ก่ออกุศลกรรมไว้ในโลกมนุษย์เมื่อสิ้นชีวิตจะตกลงสู่อบายภูมิ
ผู้ก่ออกุศลกรรมไว้ในโลกมนุษย์เมื่อสิ้นชีวิตจะตกลงสู่อบายภูมิ
  
    คือสถานอันมืดมนขุมต่างๆ แม้ผู้กระทำดีแต่ยังมีชั่วติดตัวมาก็มิอาจเสวยสวรรค์ได้ทุกเวลา หากยังต้องจุติเป็นเปรต เป็นอสูรหลากหลายชนิดชดใช้กรรมและรอผลบุญ เมื่อพ้นขุมนรกก่อน ข้อกังขาที่ว่า แม้มีผู้ก่อบาปไว้แต่ได้ประกอบบุญอยู่ด้วยในเวลาเดียวกัน คนผู้นั้นได้ตกทุกข์หรือเสวยสุขสถานใด
พระบรมศาสดา
พระบรมศาสดา
   
    พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ เชตะวันมหาวิหาร ทรงปรารภอุโบสถกรรมตรัสพระธรรมเทศนา “ดูก่อนอุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย พวกท่านรักษาอุโบสถหรือ เมื่อเขากราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่าท่านทั้งหลายทำการรักษาอุโบสถจัดว่าได้ทำความดี
พระศาสดาทรงปรารภอุโบสถกรรม
พระศาสดาทรงปรารภอุโบสถกรรม
    โบราณบัณฑิตทั้งหลายได้รับยศอันยิ่งใหญ่ ก็เพราะผลของอุโบสถกรรมกึ่งหนึ่ง” อันพวกอุบาสก อุสิกากราบทูลอาราธนา จึงทรงนำอดีตนิทานมาตรัส ในอดีตกาลเมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสีโดยธรรม
พระเจ้าพรหมทัต
พระเจ้าพรหมทัต
    ทรงเป็นผู้มีศรัทธาปสาทะ ไม่ประมาทในทาน ศีล และอุโบสถกรรม ปุโรหิตผู้เก่งทั้งการเมือง ทั้งการค้าและตัดสินคดีจึงมีพระบัญชาให้ปุโรหิตผู้เก่งกาจของพระองค์จัดการดูแล “รับด้วยเกล้า พระเจ้าค่ะ ข้าพระองค์จะรับราชโองการอย่างซื่อสัตย์เต็มกำลังพระเจ้าค่ะ”
ปุโรหิตผู้เก่งกาจแต่ชอบฉ้อฉล คดโกง
ปุโรหิตผู้เก่งกาจแต่ชอบฉ้อฉล คดโกง
    ปุโรหิตผู้นี้เก่งกล้าและมากบารมีก็จริง แต่มีข้อบกพร่องอยู่เป็นมลทินอย่างหนึ่ง คือฉ้อฉล คดโกงและไม่เป็นธรรมต่อการตัดสินคดีเลย “ถ้าจำเลยไม่จ่ายตามที่เราเรียกไป ก็เพิ่มโทษให้แล้วส่งไปเข้าคุกซะ”
ปุโรหิตตัดสินคดีความไม่เป็นธรรมตามแต่สินบนที่ได้รับ 
ปุโรหิตตัดสินคดีความไม่เป็นธรรมตามแต่สินบนที่ได้รับ
    พระเจ้ากรุงพาราณสีบำเพ็ญบุญ สมาทานศีล ไม่ช้านานชาวบ้านก็พากันเดือดร้อนกินนอนไม่เหมือนเก่า “ฮ้า น้ำผึ้งทั้งหม้อก็ยังไม่พอเรอะ ต้องเป็นเงินทองตามที่ท่านเรียกด้วยเหรอ โอ้..คดีสามีข้าคงแพ้แน่ๆ แล้ว แน่ละ ก็ดูฝ่ายโน้นเค้าให้มาซะถุงใหญ่เลย”
ชาวบ้านต่างเดือดร้อนในการตัดสินคดีความของปุโรหิต
ชาวบ้านต่างเดือดร้อนในการตัดสินคดีความของปุโรหิต
    ปุโรหิตตัดสินคดีความต่างๆ ตามความมากน้อยของสินบน ก่อบาปกรรมบนความทุกข์ของประชาชนเช่นนี้สืบมา มิได้อาทรต่อบาปใดๆ “ฮึมให้ถุงเล็กไปนะ ถูกขังต่ออีกแล้ว!..” แต่ในอีกด้านหนึ่งปุโรหิตได้ปลูกศาลาในบ้านให้คนจรและผู้เดินทางมารอตัดสินคดีต่างๆ ได้พักและรับอาหารเป็นทานภัต ถือเป็นกุศลกรรมของข้าราชการขี้ฉ้อผู้นี้ทางหนึ่ง
ปุโรหิตปลูกศาลาในบ้านให้คนจรได้พักพร้อมมีอาหารไว้บริการ
ปุโรหิตปลูกศาลาในบ้านให้คนจรได้พักพร้อมมีอาหารไว้บริการ
    การทำทานเช่นนี้ถูกเล่าขานกันในหมู่ข้าราชการบริพารในพระราชทาน พระเจ้าพรหมทัตจึงเข้าใจว่า ปุโรหิตของพระองค์สมาทานศีลอุโบสถเป็นนิจเช่นกัน “อานิสงส์ของการทำอุโบสถศีล คือศีลแปดนี้จะให้พ้นนรกได้ พวกท่านจงทำเถิด”
พระเจ้าพรหมทัตทรงชมเชยปุโรหิตแก่ข้าราชบริพารทั้งหลาย
พระเจ้าพรหมทัตทรงชมเชยปุโรหิตแก่ข้าราชบริพารทั้งหลาย
    ทรงชมเชยปุโรหิตแก่ข้าราชบริพารทั้งหลาย “วันนี้เป็นวันถืออุโบสถศีล ปุโรหิตท่านได้กระทำอุโบสถแล้วรึยัง” ความจริงแล้วปุโรหิตมิได้ถือศีลใดๆ แต่เพื่อมิให้พระราชากริ้วก็จำต้องทูลความเท็จ 
ปุโรหิตได้กล่าวความเท็จต่อพระเจ้าพรหมทัต
ปุโรหิตได้กล่าวความเท็จต่อพระเจ้าพรหมทัต
    “เช้านี้ข้าพระองค์ทำอุโบสถศีลแล้วพระเจ้าค่ะ” “สาธุ ดีมากเราขออนุโทนาบุญด้วยนะ” เมื่อเสด็จขึ้นตำหนักแล้วจึงถูกจับเท็จจากชาวราชสำนักที่รู้ทัน “ถ้าอย่างท่านปุโรหิตถือศีล พวกเราเนี่ยเป็นเทพกันไปหมดแล้วหละ” “ใช่ กล้าดียังไง มุสาต่อหน้าพระบาทได้เนี่ย”
ข้าราชบริพารทั้งหลายต่างตำหนิปุโหิตที่กล่าวคำเท็จ
ข้าราชบริพารทั้งหลายต่างตำหนิปุโหิตที่กล่าวคำเท็จ
  
    “พวกท่านอย่าเอ็ดอึงไป เอาหละๆ เราจะกลับไปถืออุโบสถศีลคืนนี้ทดแทนก็แล้วกัน" ปุโรหิตมิได้กล่าวพอพ้น หากแต่คิดทำกุศลถือศีลในคืนนั้นจริงๆ เขารีบกลับบ้านสั่งคนรับใช้ตระเตรียมสถานที่สมาทานศีลและที่ว่างเดินจงกลม
ปุโรหิตให้คนรับใช้เตรียมสถานที่สมาทานศีลและเดินจงกลม
ปุโรหิตให้คนรับใช้เตรียมสถานที่สมาทานศีลและเดินจงกลม
    เวลานั้นยังมีโอกาสได้ทำทานเพิ่มมาอีก คือมีหญิงชาวชนบทเดินทางมาถึง แต่เรามิได้หุงหาอาหารไว้เธอจึงไม่มีมื้อเย็น คงต้องทนหิวจนเช้า เย็นนั้นปุโรหิตให้หญิงชนบทมารับมะม่วงไปหนึ่งผล “วันนี้เราอาจจะถืออุโบสถจึงไม่มีอาหารเลี้ยงเช่นเคย พี่สาวรับมะม่วงแก้หิวไปก่อนละกันเถิด” “ขอให้ท่านเจริญในบุญทานนะจ๊ะ”
หญิงชนบทรับผลมะม่วงจากปุโรหิตประทังความหิว 
หญิงชนบทรับผลมะม่วงจากปุโรหิตประทังความหิว
    ครั้นได้เวลาปุโรหิตและบริวารในบ้านก็ชำระร่างกาย ห่มขาวดูสะอาดดีแล้วสวดมนต์ทำวัตรเย็น กระทำจิตเป็นกุศลเข้าสู่สมาธิ(Meditation)ภาวนาจนเกิดดวงรัตนะภายในร่างเป็นความสว่างสงบเย็นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ปุโรหิตและบริวารสวดมนต์ทำวัตร และเดินจงกลม
ปุโรหิตและบริวารสวดมนต์ทำวัตร และเดินจงกลม
    ตั้งแต่นั้นปุโรหิตก็มิได้กราบทูลความเท็จอีก หากแต่นำบริวารถือศีล เดินจงกลม บำบัดจิตอยู่เป็นนิจจริงๆ ขณะเดียวกันก็ยังเอารัดเอาเปรียบผู้คนอยู่เป็นธุรกิจคดีเช่นเดิม “เอามา มีมากมีน้อย ก็เอามา เราบริการให้ตามจำนวนเงินอยู่แล้ว เฮ้อๆ ๆ”
ปุโรหิตได้เลื่อนตำแหน่งเป็นมหาปุโรหิต
ปุโรหิตได้เลื่อนตำแหน่งเป็นมหาปุโรหิต
    ปุโรหิตได้เลื่อนตำแหน่งเป็นมหาปุโรหิตได้สิทธิ์พิเศษเพิ่มอีกมากมายในพาราณสี เพราะพระราชาเห็นในความดีที่บำเพ็ญศีลอุโบสถมิได้ขาด ย่อมเป็นความดี
ปุโรหิตสิ้นชีวิตลงท่ามกลางสมบัติมากมายแต่ไม่สามารถนำไปได้เลย
ปุโรหิตสิ้นชีวิตลงท่ามกลางสมบัติมากมายแต่ไม่สามารถนำไปได้เลย
    เมื่อถึงกาละของปุโรหิตก็สิ้นชีวิตลง ทรัพย์สมบัติบริวาร คฤหาสน์อันใหญ่โตก็ไม่ได้มีค่าอะไรอีกต่อไป จิตอันเคยก่อกุศลได้ร่ำภาวนายึดอยู่กับพระและบุญที่ทำจนสิ้นลมหายใจ แรงภาวนาทำให้วิญญาณเห็นแสงสว่าง
กุศลกรรมที่ทำไว้ทำให้ปุโรหิตจุติเป็นเทพบุตร
กุศลกรรมที่ทำไว้ทำให้ปุโรหิตจุติเป็นเทพบุตร
    แรงบุญที่ก่อไว้ทำให้จุติใหม่ในบัดดล เป็นเทพบุตรสวยงามและล่องลอยขึ้นสู่คติสถานอันสมควร เป็นสวนสวรรค์มีนางฟ้ากำนัลขับกล่อมล้อมรอบบริการ มีมะม่วงทิพย์เป็นอาหารเพราะได้เคยเมตตาให้มะม่วงแก่หญิงผู้หิวโหย
สวนสวรรค์ของเทพบุตรมีนางฟ้าขับกล่อมบริการ มีมะม่วงทิพย์เป็นอาหาร
สวนสวรรค์ของเทพบุตรมีนางฟ้าขับกล่อมบริการ มีมะม่วงทิพย์เป็นอาหาร
  
    มีพรหมทิพย์รองกายเพราะเคยให้ที่พักแก่คนจรผู้มารอคดีความ แต่กฎแห่งกรรมย่อมเป็นกฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์เสมอ เพราะยามเมื่อสิ้นแสงทิวานั้นทุกครั้งเทพบุตรปุโรหิตจะถูกกระแสอกุศลกรรมที่เคยเอาเปรียบคนอื่นและกล่าวโกหกว่าทำอุโบสถศีลครั้งนั้น
ยามสิ้นแสงทิวาเทพบุตรกลายร่างเป็น เวมานิกเปรต เพราะอกุศลกรรมที่ทำไว้
ยามสิ้นแสงทิวาเทพบุตรกลายร่างเป็น เวมานิกเปรต เพราะอกุศลกรรมที่ทำไว้
    นำลงต่ำสู่อบายภูมิกลายร่างเป็นผีเปรต เรียกว่า เวมานิกเปรต มีไฟลุกไหม้หัวและหิวโหยจนต้องเอาเล็บกระชากเนื้อหนังของตนมากินอยู่ตลอดเวลา รับทุกขเวทนาใช้กรรมเช่นนี้จนอรุณรุ่งมาเยือน ก็จะได้กระแสบุญกลับไปยังวิมารเทพบุตรอีก สลับทุกข์สุขเช่นนี้นานเป็นกัปกัลป์
ยามอรุณรุ่งมาเยือนกระแสบุญก็นำเทพบุตรกลับยังวิมารของตน
ยามอรุณรุ่งมาเยือนกระแสบุญก็นำเทพบุตรกลับยังวิมารของตน
   
ในพุทธกาลนั้นปุโรหิต กำเนิดเป็น พระนวกะภิกษุผู้พูดเท็จในอุโบสถศีล
พระเจ้าพรหมทัต เสวยชาติเป็น พระพุทธเจ้า

cr:http://dmc.tv/a10332