วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

มิตตวินทุก-ชาดกว่าด้วยโทษผู้ลุอำนาจความปรารถนา

มิตตวินทุกผู้ที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลสจนพาตนเองสู่ความหายนะ
 
    ครั้งหนึ่งเมื่อสมเด็จพระพุทธศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาข้อตัณหาอันเป็นสิ่งกว้างขวางไร้ขอบเขตจำกัด ณ พระเชตะวันมหาวิหารในนครหลวงแห่งมคธรัฐ พุทธวัจนในพระธรรมบทนี้ได้รับการจดจำต่อๆ กันว่าชนเหล่าใดมากำหนัดยินดีตัณหานั้น ชนเหล่านั้นก็เช่นผู้ถูกจักรกรดไว้
 
ณ พระเชตะวันมหาวิหารในนครหลวงแห่งมคธรัฐ
ณ พระเชตะวันมหาวิหารในนครหลวงแห่งมคธรัฐ
 
    กาลครั้งนั้นพระพุทธองค์ทรงเทศนาโปรดภิกษุทั้งหลายด้วยการปรารภกับภิกษุผู้ตกในห้วงทุกข์มิได้หลุดพ้นไปได้รูปหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงรำลึกอดีตชาติของภิกษุนี้ด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณอันบังเกิดมาแต่ครั้งทรงมีสัมโพธิญาณตรัสรู้เป็นพระพุทธศาสดา พุทธานุภาพนั้นรู้แจ้งทั่วไตรภพ
 
ภิกษุผู้ตกอยู่ในห้วงทุกข์
ภิกษุผู้ตกอยู่ในห้วงทุกข์
  
    พระองค์จึงปรารภมิตตวินทุกชาดกขึ้นว่า อดีตชาติอันไกลไปอีกกัปหนึ่งในพระพุทธศาสนาเดียวกันนี้ ในครั้งนั้นภิกษุที่ทรงปรารภในบัดนี้ก็เคยเกิดเป็นเถระมีอายุมาก่อนแต่เพราะสะพังกรรมอกุศลข้ออิจฉาริษยาพระอรหันต์องค์หนึ่ง อีกทั้งยังเคยนำภัตตาหารของภิกษุผู้นั้นไปทำลาย
 
ภิกษุผู้ตกในห้วงทุกข์ได้นำภัตตาหาร ของพระอรหันต์รูปหนึ่งไปเททิ้ง
ภิกษุผู้ตกในห้วงทุกข์ได้นำภัตตาหารของพระอรหันต์รูปหนึ่งไปเททิ้ง
  
    นับเป็นบาปอันใหญ่หลวง “หึ!..อย่าคิดเลยว่าจะได้ฉัน ทิ้งให้หมดเลยนี่..ฮิๆๆ” ต่อมาแม้ภิกษุแก่รูปนี้จะสำนึกผิดเกิดละอายในบาปนั้นจนถึงแก่ตรอมใจตายลงไปแต่บาปกรรมก็ไม่ได้งดเว้นให้ ชาติภพต่อมาภิกษุผู้นี้จึงไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์อีก “โอ้..ชั่งเศร้าใจแท้ เราไม่น่าเกิดความอิจฉาริษยาเลย
 
ภิกษุสำนึกผิดบังเกิดความละอายและเสียใจเป็นอย่างมาก ต่อการกระทำของตนเอง
ภิกษุสำนึกผิดบังเกิดความละอายและเสียใจเป็นอย่างมากต่อการกระทำของตนเอง
 
    ที่ผ่านมาเราทำกรรมชั่วไว้ตั้งมากมาย เศร้าใจจริงๆ ฮือๆ ในภพต่อมาภิกษุรูปนี้ได้ถือชาติเป็นเดรัจฉานตระกูลสุนัขจรจัด ไม่มีใครเลี้ยงดูต้องอดอยากหิวโหยตั้งแต่เกิดจนชราตกนรกหมกไหม้แล้วเกิดใหม่ก็ยังได้เป็นสุนัขเช่นเดิม ถึงกระทั่งชาติภพสุดท้ายภิกษุผู้อยู่ในบาปกรรมแต่อดีตก็ต้องสิ้นอายุขัย
 
ภิกษุผู้ตกทุกข์ถือชาติเป็นเดรัจฉาน ก่อนที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์
ภิกษุผู้ตกทุกข์ถือชาติเป็นเดรัจฉานก่อนที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์
 
    ในกรรมด้วยร่างสุนัขขาดอาหาร เมื่อได้กำเนิดใหม่ในชาติต่อมาจึงได้เป็นมนุษย์แต่เศษกรรมก็ยังบันดาลให้เกิดในบ้านยาจกยากจน จัณฑาลสองผัวเมีย กำเนิดครั้งนี้เด็กน้อยได้ชื่อว่า มิตตวินทุกะ “น้องหญิงกินเยอะๆ นะจ๊ะ” “พี่ก็กินบ้างซิจ๊ะ ป้อนน้องจนหมดแล้วพี่จะกินอะไรละ”
 
 จัณฑาลสองผัวเมียและลูกน้อยผู้มีฐานะยากจนมาก
 จัณฑาลสองผัวเมียและลูกน้อยผู้มีฐานะยากจนมาก
 
    “ไม่เป็นไรจ้า พี่ยังไม่หิว พี่ทนได้” และแล้วเมื่อเวลาที่เด็กน้อยอายุได้ 10 ขวบ วิถีแห่งกรรมก็เริ่มเข้ามากำหนดชีวิต มิตตวินทุกะถูกพ่อแม่ขับออกจากกระท่อมให้ออกไปเผชิญโชคเลี้ยงตนเอง “เจ้าออกไปอยู่ข้างนอกซะเถอะ พ่อกับแม่จนปัญญาที่จะเลี้ยงเจ้าแล้ว”
 
มิตตวินทุกะถูกพ่อแม่ขับออกจากกระท่อม ให้ไปเผชิญโชคหาเลี้ยงตนเอง
มิตตวินทุกะถูกพ่อแม่ขับออกจากกระท่อมให้ไปเผชิญโชคหาเลี้ยงตนเอง
 
    “พ่อจ๋าแม่จ๋าข้าลาแล้วนะ” “ดูแลตัวเองดีๆ นะลูก” เด็กน้อยเร่ร่อนหากินเลี้ยงปากท้องจนเติบใหญ่เป็นหนุ่มฉกรรจ์ เขารับจ้างเป็นกะลาสีบนเรือสินค้าซึ่งจะข้ามมหาสมุทรไปสู่อาณาจักรสุวรรณภูมิ กาลเวลานั่นเองคือกำหนดแห่งชีวิตภจญภัยอีกครั้งของมิตตวินทุกะ “เอ้า..ออกเรือเดินทางได้”
 
มิตตวินทุกะรับจ้างเป็นกะลาสีบนเรือสินค้า
มิตตวินทุกะรับจ้างเป็นกะลาสีบนเรือสินค้า
 
    และแล้ว 7 วันในมหาสมุทรก็เป็น 7 วันอันทุกข์ทรมารของพ่อค้าและลูกเรือทุกคน พวกเขาต้องเจอกับคลื่นลมและพายุรุนแรงไม่เคยว่างเว้น “โอ๊ย!.. คลื่นลมแรงอีกแหละ พวกเราระวังข้าวของในเรือด้วยนะ” “ข้าจะหล่นแล้ว โอ๊ย..ทำไมลมแรงอย่างนี้ เนี่ย..โอ๊ยๆ โอ้ เคราะห์ร้ายจริงๆ เลย
 
เรือสินค้าเจอลมพายุพัดโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง
เรือสินค้าเจอลมพายุพัดโหมกระหน่ำอย่างรุนแรง
 
    ครั้งนี้ออกเรือเจอแต่ลมกับพายุ พายุใหญ่ทั้งนั้นด้วย จะรอดไหมเรา” แม้ถึงเวลาฟ้าสดใสไร้พายุพัด สินค้าข้าวของมีค่าก็กระจัดกระจายปลิวลงทะเลไปแทบสิ้นสำเภา “โอ๊ย ตายๆๆ ตาย ตาย ข้าวของปลิวลงทะเลหมด โอ้ย มาช่วยกันจับไว้เร็ว” “ฮึย ใครจะไปช่วยได้ละท่านแค่ตัวเองยังเอาตัวไม่ค่อยจะรอดเลย”
 
ลูกเรือต่างพากันหาที่ยึดเกาะเพื่อความปลอดภัยจากลมพายุ
ลูกเรือต่างพากันหาที่ยึดเกาะเพื่อความปลอดภัยจากลมพายุ
 
    “เอ้..มันต้องมีตัวกาลากินีอยู่เรือนี้แน่ๆ เลย เรือถึงได้เจอพายุร้างแรงเช่นนี้” และแล้ววิบากกรรมอันตามมาแต่ชาติก่อนก็ส่งผลบนสำเภาอีกหน เหล่าลูกเรือต่างโทษว่าเป็นความผิดของมิตตวินทุกะ “ต้องเป็นเพราะมันนี่แหละ ครั้งก่อนๆ เราไม่เห็นต้องเจอกับพายุเช่นนี้เลย”
 
ลูกเรือต่างพากันกล่าวโทษมิตตวินทุกะ ว่าเป็นกาลากินีนำหายนะมาสู่เรือ
ลูกเรือต่างพากันกล่าวโทษมิตตวินทุกะว่าเป็นกาลากินีนำหายนะมาสู่เรือ
 
    “ใช่ๆ ใช่ ข้าก็ว่าเป็นเพราะมิตตวินทุกะนี่แหละ” “เพราะเจ้าคนเดียวที่ทำให้พวกเราทั้งหมดต้องเจอกับเคราะห์ร้ายอย่างเนี่ย” “ลงไปเดี๋ยวนี้เลยนะ หากเจ้ายังอยู่บนเรือพวกเราต้องเจอภัยภิบัติร้ายแรงกว่านี้แน่ๆ ออกไป เร็วลงไป” “โทษเราอย่างนี้ได้ยังไง ท่านเอาอะไรมากล่าวหาว่าเราเป็นต้นเหตุ”
 
มิตตวินทุกะโดนขับไล่ลงจากเรือถูกลอยเพกลางมหาสมุทร
มิตตวินทุกะโดนขับไล่ลงจากเรือถูกลอยเพกลางมหาสมุทร
 
    “ไม่ต้องมาต่อล้อต่อเถียง เพราะเจ้านั่นแหละ ไปๆ ลงไป” มิตตวินทุกะถูกลอยเพกลางมหาสมุทรโดยไม่รู้ทิศทาง แม้แต่กาลกำหนดเวลาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปแค่ไหนยังไม่สามารถจะทำได้เลย “เฮ้อ..ทำไมชีวิตของเราต้องเจอกับเรื่องแบบนี้ด้วย” จนเวลาล่วงเข้าวันที่ 3 ความหวังก็ปรากฏให้เห็นที่เส้นขอบฟ้า
 
เหล่าสตรีที่สะพังกุศลมาจุติในปราสาทแก้ว ผู้มีชีวิตเสวยสุขเป็นอมตะ
เหล่าสตรีที่สะพังกุศลมาจุติในปราสาทแก้วผู้มีชีวิตเสวยสุขเป็นอมตะ
  
    “ฮ้า..เกาะกลางสมุทร โอ้ มีปราสาทแก้วแวววาวด้วย เรารอดตายแล้ว” พระท่านว่าคนเรามีกรรมเป็นของตน และกรรมก็ชักพาให้แพน้อยลอยเข้าหาวิมานกลางทะเลนั้นจนได้ ที่นี่เป็นวิมานที่เหล่าสตรีผู้ทำชั่ว แล้วสะพังกุศลมาจุติอยู่ พระนางคือ เวมานิกเปรตหรือเปรตนางฟ้ามีชีวิตเสวยสุขเป็นอมตะ
 
มิตตวินทุกะได้รับการต้อนรับบำรุงบำเรอเป็นอย่างดี
มิตตวินทุกะได้รับการต้อนรับบำรุงบำเรอเป็นอย่างดี
 
     อยู่ในวิมานนานถึงหนึ่งพุทธธันดร ยามเมื่อกรรมบันดาลให้ชายหนุ่มกระเสือกกระสนมาก็ชักพากันยินดี “อุ๊ย! มีชายหนุ่มรูปงามลอยแพมาติดที่เกาะแก้วของพวกเราด้วย” “ดีใจจังเลยเกาะนี้ ไม่มีคนมาเยือนตั้งนานแล้ว” “พวกเราไปปรนนิบัติชายผู้นั้นกันเถอะ”
 
มิตตวินทุกะได้ร่ำลาเหล่าเปรตนางฟ้าเพื่อเดินทางต่อไป
มิตตวินทุกะได้ร่ำลาเหล่าเปรตนางฟ้าเพื่อเดินทางต่อไป
  
    เปรตนางฟ้าเหล่านั้นจัดการบำเรอเลี้ยงดูมิตตวินทุกะอย่างดี มิให้บกพร่องทุกสิ่งทุกประการอันสตรีจะมีให้บุรุษได้ แต่ตัวตนของมิตตวินทุกะนั้นเสมือนถูกสาปให้มีจิตโลภด้วยตัณหาครอบงำไว้ไม่รู้จักพอ “ที่นี่คงเป็นประตูดินแดนนางฟ้า วิมานนี้มีสี่นาง แสดงว่าวิมานข้างหน้าคงงดงามและก็มีนางฟ้ามากกว่านี้เป็นแน่”
 
เวมานิกเปรต 8 นางที่อาศัยอยู่ในปราสาทแก้ว ณ เกาะที่ 2
เวมานิกเปรต 8 นางที่อาศัยอยู่ในปราสาทแก้ว ณ เกาะที่ 2
 
    นางเวมานิกเปรตนั้นมีชีวิตถูกสาปอยู่แล้ว จึงไม่อาจเหนี่ยวรั้งสร้างบาปได้อีก เมื่อชายหนุ่มต้องการเดินทางต่อก็เนรมิตเรือทองให้แล่นไปได้ทุกถิ่นตามตามประสงค์ “เราไปละนะขอบคุณพวกท่านมากที่รับรองเราเป็นอย่างดี” “ทำไมชายผู้นี้ ถึงอยากจะไปเกาะนี้นักน่า..ทั้งๆที่พวกเราก็ดูแลอย่างดีแท้ๆ” “เค้าคงอยากเจอเกาะที่ให้ความสุขเค้าได้มากกว่าที่นี่ละมั้ง”
 
มิตตวินทุกะออกเดินทางต่อเพื่อไปยังเกาะที่ 3
มิตตวินทุกะออกเดินทางต่อเพื่อไปยังเกาะที่ 3
  
    ไม่ช้านานนาวานิรมิตก็นำมิตตวินทุกะมาส่งยังวิมานนางเวมานิกเปรตที่ 2 เป็นวิมานแก้วดุจกันกับเกาะแห่งแรก หากแต่มีนางฟ้าชดใช้กรรมรออยู่มากกว่าถึงสองเท่าคือมีทั้งหมดแปดนาง ซึ่งแต่ละนางล้วนงดงามไม่แตกต่างไปเลย “โอ้ แต่ละนางผิวพรรณผุดผ่อง งามแท้ๆ มิเสียแรงที่เราออกจากเกาะแห่งแรก โห้..ไม่อยากจะเชื่อเลย”
 
เวมานิกเปรต 16 นางที่อาศัยอยู่ในปราสาทเงิน ณ เกาะที่ 3
เวมานิกเปรต 16 นางที่อาศัยอยู่ในปราสาทเงิน ณ เกาะที่ 3
  
    “เข้ามาสิท่าน พวกเราจะดูแลรับรองท่านอย่างดี” เมื่อมิตตวินทุกะเสพสุขในตัณหาและเรียกร้องเอาความสำราญทุกสิ่งจนอิ่มเอมใจ และแล้วอำนาจปรารารถอันไม่รู้จบสิ้นก็จักพาให้ต้องอำลานางฟ้าทั้งแปดมุ่งหน้าสู่วิมานที่ 3 ซึ่งต้องเดินเรือไกลออกไปทุกที “เกาะที่สาม ต้องเป็นวิมานที่จะทำให้เรามีความสุขมากมายกว่านี้เป็นแน่
 
เวมานิกเปรต 32 นางที่อาศัยอยู่ในปราสาททอง ณ เกาะที่ 4
เวมานิกเปรต 32 นางที่อาศัยอยู่ในปราสาททอง ณ เกาะที่ 4
 
    และแล้วชายหนุ่มก็ล่องเรือมาจนพบปราสาทที่ 3 ณ ที่นี่เป็นปราสาทเงินมีนางงามอร่ามตารายล้อมให้ความสุขถึง 16 สาวงาม “มาทางนี้สิจ๊ะพ่อหนุ่ม พวกเราจะต้อนรับท่านเป็นอย่างดี” มิตตวินทุกะดูจะพรั่งพร้องความสุขเทียบได้กับราชาผู้ครองนครแล้ว แต่อำนาจตัณหาอันนำพาความอยากได้อยากมีไม่รู้จบสิ้นก็เร่งให้ชายหนุ่มยังอยากแสวงหา
 
มิตตวินทุกะออกเดินทางต่อไปโดยไม่ยอมฟัง คำทัดทานจากนางเวมานิกเปรต
มิตตวินทุกะออกเดินทางต่อไปโดยไม่ยอมฟังคำทัดทานจากนางเวมานิกเปรต
  
    และครอบครองสิ่งที่ดีกว่าอยู่เช่นเดิม “หากเราออกเดินทางสู่เกาะข้างหน้า เราคงได้พบกับความสุขที่มากมายมากกว่านี้แน่ โชคดีแล้วเรา” ในไม่ช้าชายหนุ่มก็เดินทางไปหาเส้นขอบฟ้าอีกจนได้ วิมานที่ 4 เป็นวิมานทอง มีนางเวมานิกเปรตชดใช้กรรมรออยู่ถึง 32 นาง เป็นดินแดนสำลักความสุขแบบครบวงจรอย่างที่มนุษย์เดินดินไม่มีวันได้สัมผัส
 
เกาะอุสสุทนรกเป็นที่อยู่สำหรับสัตว์นรก ที่ต้องรับผลกรรมอย่างทุกข์ทรมาน
เกาะอุสสุทนรกเป็นที่อยู่สำหรับสัตว์นรกที่ต้องรับผลกรรมอย่างทุกข์ทรมาน
 
“พ่อหนุ่ม พวกเราทั้ง 32 คน จะดูแลและปรนนิบัติท่านเป็นอย่างดีเลย” แต่แล้วมิตตวินทุกะก็ยังโลภไม่ยอมหยุดอยู่ที่ปราสาทแห่งนี้เขาตั้งใจจะออกเดินทางไปยังปราสาทหลังต่อไป “พ่อหนุ่มจ๊ะ ท่านจะเดินทางไปที่แห่งใดอีก เกาะแห่งนี้เป็นวิมานที่สุดท้ายแล้วนะจ๊ะ ข้างหน้ามีแต่อุสสุทนรกเท่านั้น”
 
สัตว์นรกกำลังทุกข์ทรมานจากกงจักร ที่หมุนผ่านหัวอยู่ตลอดเวลา
สัตว์นรกกำลังทุกข์ทรมานจากกงจักรที่หมุนผ่านหัวอยู่ตลอดเวลา
  
    แม้เหล่านางฟ้าในปราสาทจะแจ้งว่าที่นี่เป็นวิมานสุดท้ายของเหล่าเวมานิกเช่นนางแล้ว ความอยากได้ไม่รู้จบของชายหนุ่มกลับทำให้เขาไม่เชื่อและออกเดินทางต่อไป “เกาะข้างหน้าจะต้องทำให้เรามีความสุขมากมายกว่าเกาะแห่งนี้แน่ๆ เลย” เพียงหนึ่งราตรีที่ขอบฟ้าตอนรุ่งอรุณก็ปรากฏเกาะกลางทะเลให้เห็น
 
มิตตวินทุกะมองเห็นกงจักรเป็นดอกบัวที่สวยงาม และผู้คนก็ร่ายรำอย่างมีความสุข
มิตตวินทุกะมองเห็นกงจักรเป็นดอกบัวที่สวยงามและผู้คนก็ร่ายรำอย่างมีความสุข
  
    “นั่นไงล่ะมีเกาะอยู่ข้างหน้าจริงๆ ด้วย” ชายหนุ่มใช้จิตประสงค์สั่งให้นาวานิรมิตบ่ายหน้าเข้าหาเกาะประหลาดนั้นด้วยความเคยได้เคยมีความสุขดั่งที่ผ่านมา “นี่กระมังหนอที่เหล่านางงามบอกว่าเป็นเกาะอุสสุทนรก ที่แท้คงเป็นเมืองชื่ออุสสุทนคร มั่งคั่งด้วยความสุขอันวิเศษกว่าที่ผ่านๆ มา” ชายหนุ่มชะเง้อมองออกไปที่เกาะนั้น เขามองเห็นผู้คนบนเกาะนั้นร่ายรำทำฟ้อนกันและขับร้องกันอย่างสนุกสนาน
 
มิตตวินทุกะได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน จากกงจักรซึ่งอยู่บนหัวของตน
มิตตวินทุกะได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานจากกงจักรซึ่งอยู่บนหัวของตน
  
     แท้จริงแล้วกรรมบังตาเขาให้เห็นเช่นนั้น แต่ความจริงก็คือเป็นอุสสุทนรก สำหรับสัตว์นรกมารับผลกรรม “ช่วยด้วย! ช่วยเราด้วย! ใครก็ได้เอาจักรกรดออกจากหัวข้าที! โอ๊ย!!!.” “โอ๊ย!!!.ทรมานเหลือเกิน โอ๊ย...โอ๊ย...ทนไม่ไหวแล้ว โอ๊ย...โอ๊ย..” อุสสุทนรกแห่งนี้เป็นนรกที่มีกงจักรหมุนผ่านหัวสัตว์นรกทั้งหลายจนได้รับความเจ็บจนทนทรมาน
 
เทวบุตรโพธิสัตว์ท่องเที่ยวไปและได้ผ่านมายังอุสสุทนรก
เทวบุตรโพธิสัตว์ท่องเที่ยวไปและได้ผ่านมายังอุสสุทนรก
 
    ทนไม่ไหวสิ้นใจตายแล้วก็พลันฟื้นแล้วก็ถูกผ่าหัวจนตายอีกเป็นอย่างนั้นอยู่เรื่อยไป “โอ๊ย!!!.ทรมานเหลือเกิน โอ๊ย...ๆๆๆ” สัตว์นรกเหล่านี้จะพ้นกรรมไปก็ต่อเมื่อมีผู้มาขอรับกรรมไปชดใช้และมิตตวินทุกะคือคนผู้นั้น เขาถูกวาระแห่งกรรมตามมาทันมองเห็นกงจักรอันน่ากลัวเป็นดอกบัววิเศษไป “ดูพวกท่านมีความสุขกันมากมายเลยคงเป็นเพราะดอกบัววิเศษนั่นใช่ไหม๊ ขอให้ข้าพเจ้าใช้มันทำความสุขสนุกสนานบ้างเถิด”
 
เทวบุตรโพธิสัตว์ทรงโปรดมิตตวินทุกะให้สำนึกบาป
เทวบุตรโพธิสัตว์ทรงโปรดมิตตวินทุกะให้สำนึกบาป
  
    “โอ้.ได้เลย ขอบคุณท่านมากนะที่ช่วยให้เราได้พ้นทุกข์” ฉับพลันที่เขานำมันมาวางเทิญบนศีรษะ เขาก็พบกับความเจ็บปวดแสนสาหัส “โอ๊ย!!!...อ๊ากๆๆ โอ๊ย อะไรกันเนี่ย โอ๊ยๆ เจ็บๆ ใครก็ได้ช่วยเอามันออกไปที โอ๊ยๆ เจ็บ...โอ๊ย!!!.ทรมานเหลือเกิน” เวลานั้นมีเทวบุตรโพธิสัตว์ท่องเที่ยวมาในอุสสุทนรกพบพานกับบาปกรรมของมิตตวินทุกะ ก็โปรดให้สำนึกบาป
 
    “อันคนเหล่าใดมากำหนัดยินดีกับตัณหาที่เติมเต็มได้อยากดุจมหาสมุทร ก็เสมือนเทิดทูนไว้ซึ่งอำนาจปรารถนา อันตัณหานี้เมื่อบุคคลซ่องเสพย่อมเป็นของกว้างไร้ขอบเขตอยู่เบื้องบนย่อมแผ่ขยายตามความอยากไม่รู้สิ้น เตโหนติ จักรทาริโน ชนเหล่านั้นเสมือนทุนจักรกรดไว้”
 
ในพุทธกาลสมัย นายมิตตวินทุกะ กำเนิดเป็น ภิกษุผู้ยังตกห้วงทุกข์อยู่
เทวบุตรโพธิสัตว์ เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า

http://dmc.tv/a11325