ปลาหนุ่มผู้ลุ่มหลงในความงามปลาสาวจนเป็นเหตุนำตนไปสู่ความตาย
ในยุคพุทธกาลพระอารามเชตะวันนั้นมีความสำคัญมาก ด้วยเป็นพระวิหารอันพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายอยู่จำพรรษาตลอดฤดูกาลก่อนออกเผยแผ่พระธรรมคำสอนอีกครั้งในปลายฤดูฝนของทุกปี มหาชนชาวชมพูทวีปทุกวรรณะใช้โอกาสนี้เดินทางเข้ามาฟังพระธรรมเทศนา แล้วนำประโยชน์ที่ได้ไปแก้ปัญหาในการดำเนินชีวิตอยู่เป็นนิจศีล
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ณ พระเชตะวันมหาวิหาร
ในการแสดงพระธรรมเทศนาคราวหนึ่งพระพุทธองค์ทรงมีพุทธโอวาทไพเราะจับใจ ชาวสาวัตถีและเมืองใกล้ไกลต่างซาบซึ้งในรสพระธรรมนั้นโดยเฉพาะมานพหนุ่มผู้หนึ่งบังเกิดความศรัทธาเลื่อมใสอย่างสูงตั้งใจจะขออุปสมบทในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า “อือ...ชั่งเป็นจริงดั่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้โอวาทไว้โดยแท้
มานพหนุ่มผู้ซึ่งเลื่อมใสศรัทธาในรสพระธรรมและปรารถนาที่จะออกบวช
ความสุขทางธรรมชั่งเป็นความสุขที่สงบดีแท้ นี่แหละความสุขที่เราต้องการ คงจะดีหากเราได้อุปสมบทและได้ประพฤติธรรมในพระอาราม เฮ้อ..แต่น้องหญิงจะยอมหรือเปล่าก็ไม่รู้” มานพหนุ่มได้เอ่ยปากขออนุญาตภรรยาอยู่หลายครั้ง แต่ก็โดนบ่ายเบี่ยงอยู่ร่ำไป “น้องหญิงจ๊ะ เจ้าจะว่าอย่างไร ถ้าพี่จะขอลาเจ้าไปอุปสมบท”
มานพหนุ่มขออนุญาตภรรยาเพื่อที่จะออกบวช
“แหม..พี่อย่าเพิ่งพูดตอนนี้เลยทำงานมาเหนื่อยๆ ไปพักก่อนเถอะจ้า” ผู้เป็นภรรยาไม่ต้องการให้มานพหนุ่มผู้เป็นสามีออกบวชจึงบ่ายเบี่ยงเช่นนี้อยู่ทุกครั้ง แต่ในที่สุดเธอก็เหนี่ยวรั้งสามีเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป “น้องหญิงจ๊ะ เรื่องที่พี่จะลาเจ้าไปอุปสมบท” “ท่านพี่ดูซิ ข้าซื้อผลไม้มาจากตลาด น่ากิ้น น่ากิน” “เจ้าอย่าแชเชือนอีกเลย
มานพหนุ่มได้ออกบวชและตั้งใจปฏิบัติธรรมเป็นอย่างดี
ไม่ว่าจะยังไงพี่ก็ต้องออกบวช เจ้าอย่ารั้งไว้อีกเลย” เมื่อรั้งไว้ไม่ไหวเธอจึงจำยอมอนุญาตให้บวชแม้จะไม่เต็มใจก็ตาม “เอาเถอะถึงจะบวช พี่ก็หนีชั้นไม่พ้นหรอก ฮึ!..คอยดูไปว่าจะบวชได้สักกี่พรรษา” ไม่นานต่อมาชายหนุ่มก็ได้บวชเป็นพระภิกษุและก็อยู่จำพรรษาในพระเชตะวันมหาวิหาร และปฏิบัติพระธรรมวินัยเป็นอันดี
ภรรยาของมานพได้นำผลไม้มาถวายภิกษุอดีตสามีเป็นประจำ
ส่วนหญิงผู้เป็นภรรยากลับไม่ได้อนุโมทนาด้วย นางยังแวะเวียนมาหานำอาหารที่ท่านเคยชอบมาถวาย ซ้ำยังแต่งกายงดงามหวังก่อกวนกิเลสของภิกษุหนุ่ม “ดูซิว่าวันนี้จะอดใจไหวไหม อุตส่าห์ลงทุนขัดผิวทาขมิ้นมา พรมน้ำอบมาทั้งตัว” อีกทั้งเมื่อได้เจอกันทุกครั้งเธอก็จะนำเรื่องทางโลกมาโน้มน้าวจิตใจพระภิกษุหนุ่มเสมอไม่เคยเว้น
ภรรยาของมานพได้นำอาหารมาถวายภิกษุอดีตสามีเป็นประจำ
“หลวงพี่คะ ตอนกลางคืนหน่ะ บ้านเราน่ากลัวมากเลย เดี๋ยวนี้นะมีใครก็ไม่รู้ด้อมๆ มองๆ อยู่ข้างบ้าน น้องนอนไม่ค่อยหลับแม้สักคืนเลย ถ้ามีหลวงพี่อยู่กับน้องเหมือนเคยก็คงดีนะ” นานวันเข้าพระภิกษุหนุ่มก็เริ่มรวนเรเหมือนคำโบราณท่านว่า อันเสาหินแปดศอกตอกเป็นหลัก ไปมาผลักบ่อยเข้าเสายังไหว (หลวงพี่มาอยู่กับน้องเหมือนเคยนะ)
อดีตภรรยาของภิกษุนำเรื่องทุกข์ใจมาบอกเล่าทำให้ภิกษุหนุ่มเริ่มมีความกังวลใจ
“โธ่เอ้ย..โยมสีกา นี่อาตมาทำความลำบากให้เธอรึปล่าว” ความทุกข์ความกระวนกระวายใจก็กลายเป็นความห่วงหาอาลัยยากแก่การกำจัดออกไปได้ “เฮ้อ..บวชแล้วใยยังหาความสุขไม่ได้อีกหนอ” ความอาลัยอาวรณ์ทับถมทุกวันจนภิกษุหนุ่มหมดกำลังใจจะครองเพศบรรพชิต “เห็นที่เราต้องสึกกลับไปใช้ชีวิตกับภรรยาอีกแน่ๆ โธ่เอ้ยกรรมแท้ๆ”
ภิกษุหนุ่มเริ่มท้อแท้หมดกำลังใจในการที่จะครองเพศบรรพชิต
ความทุกข์ของภิกษุนั้นได้ปรากฏในข่ายพระญาณของพระพุทธเจ้าทรงมีพระเมตตาและพระกรุณาธิคุณปรารถนาจะเตือนสติภิกษุนั้นมิให้หวนกลับไปเวียนว่ายในกองทุกข์อีก พระพุทธองค์จึงทรงระลึกชาติแต่หนหลังของภิกษุผู้นี้ด้วยบุพเพนิวาสนุสติญาณ “ดูก่อนภิกษุ มิใช่แต่เดี๋ยวนี้ ที่หญิงผู้นี้นำความวุ่นวายให้กับเธอ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเตือนสติภิกษุหนุ่มด้วยการตรัสเล่าอดีตชาติของภิกษุในกาลก่อน
แม้ในชาติก่อนโน้นเธอก็เกือบจะตายเพราะหญิงคนนี้มาแล้ว เคราะห์ดีที่เราช่วยเธอไว้ได้” ภิกษุผู้มีทุกข์กราบอาราทนาให้พระพุทธองค์ทรงแสดงเรื่องในอดีตชาติของตนให้ฟัง พระองค์ได้ทรงตรัส มัจฉชาดกไว้ ดังนี้ อดีตชาติครั้งนั้นพระเจ้าพรหมทัตครองกรุงพาราณสี น้ำท่าข้าวปลาอุดมสมบูรณ์ดี ชาวเมืองต่างอยู่กันเป็นสุขทั่วหน้า
แม่น้ำหน้าเมืองพาราณสี
ณ คุ้งน้ำหน้าเมืองมีปลาหนุ่มตัวหนึ่งเกิดติดใจรักใคร่นางปลาสาวจึงว่ายวนอยู่ไม่ห่าง “น้องปลาแสนสวยว่ายอยู่ตัวเดียวเหงาไหมจ๊ะ ให้พี่ว่ายเป็นเพื่อนนะ” “แหม..ช่างขยันจริงๆ นะ” “ก็พี่จริงใจกับน้องนี่จ๊ะ ถึงได้ขยันแวะวนมาหา” “ไม่อยากจะเชื่อหรอก วันนั้นก็เห็นไปแวะวนกับปลาอีกตัวหนึ่ง” “อะไรที่ไหนกัน ไม่มีหรอกพี่จริงใจกับน้องคนเดียว เฮ้ย ตัวเดียว”
ปลาหนุ่มหลงรักปลาสาวแสนสวยและได้แวะเวียนมาหาปลาสาวทุกวัน
และแล้วก็ถึงคราวเคราะห์ร้ายมีชาวบ้านคนหนึ่งพายเรือมาทอดแห ณ บริเวณปลาสองตัวนี้พอดี “เพี๊ยง..ได้ปลาอ้วนๆ อวบๆ ติดมาสักตัวเถอะ” ปากแหแผ่กว้างแล้วจมลงยังท้องน้ำอย่างรวดเร็ว “ถ้าพี่รักน้องจริงก็ต้องว่ายตามมาให้ทันนะ” “ได้อยู่แล้วจ้า พี่นักว่ายน้ำตัวยงเลยนะ ดูหุ่นซะก่อน นี่” ปลาตัวเมียว่ายออกไปก่อนอย่างรวดเร็ว
ชาวบ้านคนหนึ่งได้พายเรือมาทอดแห ณ แม่น้ำหน้าเมืองพาราณสี
ปลาตัวผู้ด้วยความประมาท มัวแต่เกี้ยวนางปลา จึงโชคร้ายติดแหดิ้นออกไปไม่ได้” “โอยๆ!! ตายแล้วติดแห น้องปลาที่รักช่วยพี่ด้วย ไม่กี่อึดใจต่อมาชายผู้นั้นก็ดึงแหขึ้นมาพ้นจากขอบน้ำ “โอ้..ว๊าว..ปลาตัวใหญ่ดีแท้ มาๆ มาเป็นอาหารของพ่อซะเถอะ เอ้..ใหญ่ๆ อย่างนี้เอาไปต้มยำดีกว่า อือ..หรือว่าทอดราดน้ำปลาดี ปลาสามรสก็อร่อย
ปลาหนุ่มถูกจับติดแหด้วยความประมาทมัวแต่จีบปลาสาวโดยที่ไม่ทันระวังตัว
ไปๆ คอยพ่อก่อนนะจ๊ะ ขอเอาเพื่อนแกไปอีกสัก 2-3 ตัวก่อน ชายผู้จับปลา โยนเจ้าปลาตัวผู้ไว้บนพื้นดิน ปลาเจ้าชู้ดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นด้วยความกระวนกระวายใจ “โธ่ๆๆ เราหายมาอย่างนี้ น้องปลาแสนสวยจะเข้าใจผิดหรือเปล่าก็ไม่รู้ เกิดเข้าใจผิดคิดว่าเราไปติดพันสาวตัวอื่นๆ คงโกรธเราแน่ๆ เลย โธ่เอ๋ย..”
ปลาหนุ่มโดนจับได้และถูกโยนไว้บนพื้นดินริมแม่น้ำ
อนิจจาปลาใหญ่คร่ำครวญถึงแต่นางปลาสาว มิได้รู้สึกกลัวความตายที่อยู่ตรงหน้าสักนิด “น้องปลาแสนสวยของพี่ เธออย่าเข้าใจพี่ผิดเลยนะ โธ่..ทำอย่างไรเธอถึงจะรู้นะว่าเราติดแหอยู่น่ะ ไม่ได้นอกใจเธอเลยสักนิด น้องปลาเอ๋ย..พี่ทุกข์ใจเหลือเกิน ถึงจะถูกฆ่าเอาไปต้มยำทำแกง ยังไม่ทุกข์ใจเท่ากับที่คิดถึงเธอเลย”
พราหมณ์ปุโรหิตของพระเจ้าพรหมทัตได้ออกมายังท่าน้ำหน้าเมืองพาราณสี
ขณะเดียวกันนั้นเองพราหมณ์ปุโรหิตผู้หนึ่งของพระเจ้าพรหมทัตออกมายังท่าน้ำบริเวณนั้นพอดี ท่านผู้นี้มีวิชารู้ภาษาสัตว์ทั้งหลาย เมื่อได้ยินเสียงปลาคร่ำครวญก็เวทนานัก “เฮ้อ..เสียงปลาตัวนี้ช่างเต็มไปด้วยความทุกข์ใจยิ่งนัก ถ้าเราปล่อยให้มันตายไปในขณะที่มีจิตใจเร้าร้อนอยู่ด้วยกามราคะเช่นนี้ มันต้องไปเกิดในนรกอย่างแน่นอน
พราหมณ์ปุโรหิตได้ไถ่ชีวิตปลาหนุ่มจากชายชาวบ้านผู้ที่จับปลาได้
เราควรเป็นที่พึ่งของปลาตัวนี้ให้มันได้พ้นทุกข์ คิดได้ดังนั้นปุโรหิตของพาราณสีก็ประกอบบารมีทานทำการไถ่ชีวิตปลาจากชายผู้นั้น “ขอปลาตัวใหญ่นี้ให้เราเถิดท่าน มันยังไม่ควรตายในเวลานี้” “ โอ้..ได้ซิท่าน ข้าได้ร่วมกุศลกับปุโรหิตหรือเนี่ย เอาซิท่าน เอาปลานี้ไป” ปุโรหิตนำปลาตัวนั้นไปยังท่าน้ำ พลางอบรมสั่งสอน
พราหมณ์ปุโรหิตได้อบรมสั่งสอนปลาแล้วก็ปล่อยมันลงแม่น้ำดังเดิม
“จำไว้น่ะ เจ้าต้องหมั่นสำรวมระวัง อย่าปล่อยให้กิเลสเข้าครอบงำ หลงติดอยู่ในกามราคะอีกเลยนะ มิฉะนั้นเจ้านั้นแหละที่จะต้องทนทุกข์แต่เพียงผู้เดียว “ฮือๆ ช่างซึ้งใจแท้ๆ ข้าจะเชื่อฟังท่าน” “เอาหล่ะ เจ้ากลับไปบ้านเจ้าซะ นี่ถ้าหากข้าไม่บังเอิญมาพบ เจ้าก็คงตายไปแล้ว” “ข้าขอขอบพระคุณท่านมาก เพราะกามกิเลสแท้ๆ ทำให้ข้าเกือบต้องตาย”
ภิกษุหนุ่มฟังพระธรรมเทศนาจบลงก็สามารถทำใจหยุดนิ่งปลดเปลื้องความทุกข์กังวลทั้งปวง
“เจ้าปลาเอ๋ย..เป็นเพราะความรักใคร่ ติดพันนางปลานั่นทีเดียวที่นำความพินาสมาให้ กรรมแท้ๆ “พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสมัจฉชาดกจบแล้วทรงแสดงอริยสัจ 4 โดยนัยต่างๆ อย่างละเอียดลึ้กซึ้ง ภิกษุที่มีอดีตชาติเป็นปลาฟังพระธรรมเทศนาแล้ว ก็สามารถทำใจให้หยุดนิ่ง ปลดความทุกข์กังวลทั้งปวงลงสำเร็จเป็นพระโสดาบัน ณ ที่นั้นเอง
ในสมัยพุทธกาล
นางปลา กำเนิดเป็น ภรรยาสาว
ปลาใหญ่ กำเนิดเป็น ภิกษุผู้อยากสึกรูปนี้
พราหมณ์ปุโรหิต เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า
น มัง สีตัง น มังอุณหัง น มัง ชาลัสมิ พาธนัง
ยัญจ มัง มัญญะเต มัจฉี อัญญัง โส รติยา คโต
ความเย็นความร้อน และการติดอยู่ในแห ไม่ได้เบียดเบียนให้ได้รับความทุกข์เลย
แต่ข้อที่นางปลาสำคัญ ว่าเราไปหลงนางปลาตัวอื่นนั่น แหละเบียดเบียนให้ได้รับทุกข์
CR : http://dmc.tv/a11957