ปลาหมอซึ่งถูกคัดเลือกให้ไปดูบึงใหญ่ที่มีน้ำและอาหารอุดมสมบูรณ์
พระเชตะวันมหาวิหาร ณ เวลาในพุทธกาลสมัยหนึ่งยังมีพระภิกษุผู้มีศิลปะในการตัดเย็บ ย้อมสี ปะ ชุนจีวร ฝีมือดีจนเป็นที่ยอมรับในหมู่สงฆ์ ภิกษุรูปนี้ชาญฉลาดในการทำจีวรให้งาม ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายพากันขนานนามตามความหมายนั้นว่า พระจีวรวัฒฑกะ แปลว่าผู้สามารถทำผ้าเก่าให้ดูเหมือนใหม่ได้ ดังนั้นหมู่ภิกษุในพระเชตะวันอาราม
บรรดาพระภิกษุนำผ้ามาให้พระที่มีชื่อเสียงในด้านการตัดย้อมผ้าได้ตัดเย็บเป็นจีวร
จึงพากันไปใช้บริการมิได้ว่างเว้น “ท่านนะ ซ่อมจีวรนี้ให้เราด้วยนะ มันเก่าเหลือเกิน ฟังเขาเล่าขานกันนานแล้ว ท่านจีวรวัฒฑกะนี่ฝีมือน่าทึ่งจริงๆ” “ได้ซิ สัก 2-3_วัน ท่านก็มารับแล้วกันนะ รับรองว่าจีวรของท่านต้องเหมือนใหม่แน่ๆ” เมื่อเวลาล่วงเลยไปความอัจฉริยะของสงฆ์ผู้ซ่อมจีวรนั้น ก็ยิ่งเป็นที่ร่ำลือกันไม่หยุดทั่วพระเชตะวันมหาวิหาร
พระจีวรวัฒฑกะได้สนทนากับภิกษุผู้ที่นำผ้ามาให้ตนย้อม
วิธีการซ่อมผ้าของภิกษุผู้นี้คือ นำผ้าเก่ามาซักโดยประณีต เมื่อสะอาดดีก็เย็บขึ้นเป็นผืนจีวรก่อนลงย้อมด้วยสีที่ผสมเป็นพิเศษด้วยเวลาและความร้อนที่เหมาะสมเมื่อได้สีสันตามต้องการแล้ว จีวรผ้าเก่าก็ยังต้องถูกจัดการกับรูเล็กๆ ที่เกิดจากการใช้งานมานานให้สมานเป็นเนื้อผ้าเรียบสวยไร้รอยตำหนิ พระจีวรวัฒฑกะจะนำผ้าย้อมนั้นไปแช่น้ำแป้งและปล่อยไว้จนแป้งละลายเข้าไปอุดสมานรูรั่วของผ้าได้ทั้งผืนก่อนนำมาตากและรีด
จีวรเก่าถูกนำไปต้มเพื่อย้อมสีใหม่ด้วยความร้อนในอุณหภูมิที่เหมาะสม
และเมื่อผ่านการรีดจนเรียบร้อยผ้าเก่าๆ ก็จะกลายเป็นจีวรใหม่สีเงางามอวดแสงตะวันจนดูพร่างพรายดุจกันกับความนิยมของหมู่ภิกษุสงฆ์ที่นับวันก็ขจรขจายจนฝีมือพระจีวรวัฒฑกะกลายเป็นสิ่งอัศจรรย์มากขึ้นทุกที “โอ้โห..ช่างสวยงามเหมือนใหม่เลยยังกับแพแคว้นกาสีทีเดียวนะเนี่ย” “ท่านจีวรวัฒฑกะนี่ยอดจริงๆ เย็บได้เรียบร้อยไร้รอยปะชุนให้เห็นเลย”
จีวรที่ผ่านการย้อมจะถูกนำมาแช่น้ำแป้งเพื่ออุดสมานรูรั่วของผ้า
“ไม่ถึงเพียงนั้นหรอก พวกท่านก็ยกย่องเกินไป นานวันเข้าเมื่อวันเวลาล่วงไปจิตใจมนุษย์ก็เปลี่ยนแปลงไม่เว้นพระสงฆ์องค์เจ้าอย่างพระจีวรวัฒฑกะซึ่งเริ่มคิดละโมบขึ้นมาบ้าง ฉะนั้นเมื่อมีภิกษุบวชใหม่นำผ้าเนื้อดีมาขอให้ท่านตัดเย็บเป็นจีวรก็มักเจออุบายจากความโลภนั้น ดั่งเช่นภิกษุใหม่รูปนี้ “เออ...ช่วงนี้จีวรที่อาตมาต้องซ่อมนะ
ผ้าที่ผ่านการย้อมจะถูกนำมาซักและตากก่อนที่จะนำมาตัดเย็บต่อไป
มากมากนักคงต้องใช้เวลาสัก 2_สัปดาห์นะถึงจะแล้วเสร็จน่ะ” “นานขนาดนั้นเลยหรือท่าน เช่นนั้นกระผมจะทำอย่างไรดี” “อือ....ในกุฏิอาตมายังมีจีวรที่ตัดเย็บแล้วอยู่บ้าง แลกเอาไปใช้เถิด จีวรนี้ก็ทอจากผ้าฝ้ายเนื้อดีเหมือนกันจะได้ใช้ทันใจไม่ต้องรอ” พระภิกษุบวชใหม่จะไม่คิดสงสัยแม้แต่น้อย และยินยอมแลกจีวรด้วยความเต็มใจทุกครั้ง
บรรดาพระภิกษุต่างชื่นชมในฝีมือการตัดเย็บของพระจีวรวัฒฑกะ
“จีวรนี้เนื้อผ้าช่างงามยิ่งนัก ถ้าอย่างนั้นนะผมขอแลกกับผ้าผืนนั้นแล้วกันนะ” แผนหลอกลวงนี้พระจีวรวัฒฑกะมักจะนำไปใช้กับพระภิกษุบวชใหม่อยู่เสมอและก็จะสำเร็จทุกครั้ง จีวรที่พระภิกษุใหม่แลกมาแรกๆ ก็ดูสวยงามเพราะผ่านการตัดเย็บและย้อมสีมาอย่างดี พระบวชใหม่หลายรูปก็พากันชื่นชมอิ่มเอิบใจ “จีวรท่านช่างงาม คงเป็นผ้าจากพาราณสีกระมัง”
พระจีวรวัฒฑกะเริ่มมีความคิดละโมบไม่ซื่อสัตย์ขึ้นมาในใจ
“เรานะ นำผ้าใหม่ไปแลกกับพระจีวรวัฒฑกะมา” “อย่างนั้นหรอกรึ งั้นเราจะนำผ้าทอผืนใหม่ไปแลกบ้าง” แต่ความลับไม่มีในโลกจริงๆ จีวรที่พระภิกษุใหม่นำไปแลกมาได้นั้นแรกๆ ก็ดูสวยงาม แต่พอใช้มาระยะหนึ่ง เมื่อนำไปซักด้วยความร้อนแป้งที่สมานเนื้อผ้าไว้ก็หลุดออกเห็นเป็นรูพรุนทั่วผืน “โอ้ย!. นี่พวกเราถูกหลอกกันหมดเลยหรือเนี่ย น่ารังเกียจนักพระจีวรวัฒฑกะผู้นี้”
พระจีวรวัฒฑกะเริ่มใช้อุบายกับพระภิกษุที่บวชใหม่โดยการยืดเวลาในการตัดเย็บ
ห่างไกลออกไปในนิคมชนบทก็ยังมีพระภิกษุอีกรูปหนึ่งซึ่งมีวิชาการด้านนี้เหมือนพระจีวรวัฒฑกะ ภิกษุรูปนี้ได้ยินเสียงเล่าขานถึงกลโกงของพระจีวรวัฒฑกะที่อยู่ในอารามเชตวันมาโดยตลอด ก็เกิดอยากลองวิชา “อยากรู้จริงหนอพระบ้านนอกอย่างเราเนี่ยกับพระในเชตวันมหาวิหารองค์นั้นใครจะหลอกลวงได้แน่กว่ากัน”
พระจีวรวัฒฑกะหลอกพระบวชใหม่ให้หลงเชื่อตนได้สำเร็จ
พระชนบทวางอุบายในใจแล้วเดินทางสู่พระอารามเชตะวันโดยไม่รอช้า เมื่อถึงพระอารามเชตะวันแล้ว พระชนบทก็ห่มด้วยจีวรเก่าที่ปรับแต่งมาอย่างประณีตสวยงามจนดูมีราคาแพง แล้วแสร้งเดินผ่านกุฏิพระจีวรวัฒฑกะเพื่อสร้างความสนใจ “จีวรที่ภิกษุรูปนั้นสวมใส่ช่างงดงามยิ่ง นักหากเราได้เก็บไว้ก็คงดี” พระจีวรวัฒฑกะเมื่อเห็นจีวรที่พระชนบทปรับแต่งมาอย่างดี ก็นึกว่าเป็นจีวรเนื้อดี
บรรดาพระภิกษุต่างหลงชื่นชมในจีวรของพระภิกษุผู้บวชใหม่
จึงมีความโลภอยากได้มาครอบครองดังเคย “ท่านภิกษุหยุดก่อนเถิด อาตมามีผ้าเนื้อดีขอแลกกับจีวรที่ท่านครองอยู่นั่นได้หรือไม่” “อ๋อ...ได้ซิท่าน” “งั้นนิมนต์รอสักครู่ก่อนเถิด” พระนักต้มของเชตะวันได้เข้าไปในกุฏิแล้วพบว่าไม่มีผ้าเก่าที่ใช้ลวงผู้อื่นเหลืออยู่อีกเลย “เฮ้อ...เหลือแต่จีวรใหม่ๆ อือ แต่เอาเถอะของพระบ้านนอกนั้นยังดูดีกว่า ยังไงก็มีกำไร”
จีวรของพระภิกษุผู้บวชใหม่ซีดจางและปรากฎรอยปรุพรุนของผ้าหลังจากใช้ไปไม่นาน
“เสียดายที่ไม่มีผ้าสวยๆ เหลืออยู่เลย มีแต่จีวรตัดเย็บแล้วเป็นจีวรใหม่ท่านคงไม่ว่ากระไรนะ” “มิเป็นไรดอก ยังไงก็เป็นผ้าจากผู้โด่งดังแห่งอารามนี้” “เหอะๆ เช่นนั้นก็รีบผลัดส่งจีวรท่านมาเถิด” ไม่นานต่อมาพระชนบทก็ครองจีวรใหม่กลับไปด้วยรอยยิ้มกริ่ม ปล่อยให้พระจีวรจีวรวัฒฑกะปลื้มอยู่กับผลงานการล่อลวงต่อไป “เหอะๆ ฮ้าๆ พระบ้านนอกหลงชื่อเสียงเรา โดนหลอกซะ”
พระภิกษุชนบทได้เดินทางมาสู่พระเชตวันเพื่อต้องการที่จะพบกับพระจีวรวัฒฑกะ
“เฮ้ย..ก็นึกว่าจะแน่ ดีใจไปเถอะเดี๋ยวก็รู้” ต่อมาไม่นานเท่าใดนักเมื่อพระจีวรวัฒฑกะนำจีวรที่แลกกับพระบ้านนอกมาซักด้วยน้ำร้อนความเก่าคร่ำคร่าของผ้าก็เผยออกมาทันที “อะไรกัยเนี่ย!!...ไม่เคยเจอะเจอนี่มันผ้าขี้ริ้วชัดๆ โอ้ย...อายจริงๆ นี่เราโดนหลอกหรือเนี่ย” พระจีวรวัฒฑกะแห่งเชตวันอับอายกับเรื่องนี้จนไม่กล้าสู้หน้าผู้ใด
พระจีวรวัฒฑกะเห็นจีวรพระชนบทก็คิดอยากจะได้มาครอบครองเป็นเจ้าของ
ภิกษุทั้งหลายพากันกล่าวขานกันทั่วธรรมสภาเป็นข้อพิจารณาสำคัญ “อายจัง ไม่กล้าออกไปเจอหน้าผู้คนแล้ว ทำกันได้” ครั้นเหตุนี้ทราบถึงพระกัณฑ์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงพระกรุณาธิคุณเผยวัจน ว่า “ดูก่อนภิกษุพระจีวรวัฒฑกะแห่งเชตะวันมหาวิหารนี้ มิได้หลอกลวงผู้อื่นแต่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อนก็หลอกลวงผู้อื่นมาแล้วเหมือนกัน
พระจีวรวัฒฑกะชื่นชมกับจีวรที่ตนสามารถแลกเปลี่ยนมาจากพระชนบทได้สมใจตน
และพระจีวรวัฒฑกะแห่งชนบทนั้นก็มิได้หลอกลวงพระจีวรวัฒฑกะแห่งเชตะวันในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อนก็หลอกลวงแล้วเช่นกัน แล้วองค์พระศาสดาก็ทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสนุสติญาณตรัสเล่าพกชาดกดังนี้ ในอดีตกาล ณ หนองน้ำกลางป่าแห่งหนึ่ง ยามฤดูแล้งน้ำก็แห้งลดลงจนเหลือแค่เป็นแอ่งเล็กๆ ฝูงปลาในหนองน้ำจึงอยู่กันอย่างแออัด
พระจีวรวัฒฑกะตกใจมากที่จีวรพระชนบทเปลี่ยนไปไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้วหลังจากผ่านการซัก
“โอ๊ย..อึดอัดเหลือเกิน ว่ายไปทางไหนก็ไปไม่ได้” “เจ้าก็อยู่นิ่งๆ ซิ รู้ว่าหนองน้ำเหลือเป็นแค่แอ่งนิดเดียวก็จะขยับตัวอยู่ได้” ในตอนนั้นมีนกยางตัวหนึ่งบินผ่านมานึกอยากกินปลาในนั้นแบบสบายๆ จึงทำกลอุบายขึ้น “โอ้..พวกเจ้าช่างน่าสงสารยิ่งนักแออัดกันอยู่อย่างนี้ อีกไม่ช้าก็พากันตายหมด
นกกระยางบินผ่านหนองน้ำแห่งหนึ่งที่กำลังจะแห้งขอดแต่มีฝูงปลาหลงเหลืออยู่
ปีนี้อากาศร้อนจัดขึ้นฝนก็ไม่ตกหนองน้ำแถวนี้ก็แห้งไปหมดแล้ว” “จริงเหรอ..ตายแล้วๆๆ พวกเราจะทำอย่างไรกันดีเนี่ย..” “น้ำแห้งน่ะ แค่คิดก็สยองแล้ว เราจะทำยังไงกันดี” “เมื่อกี้ข้าบินผ่านบึงใหญ่แห่งหนึ่ง บึงแห่งนี้อุดมสมบูรณ์นัก น้ำไม่เคยแห้งเลยสักฤดู” “ห๊า...บึงใหญ่ ถ้าพวกเราย้ายไปอยู่บึงนั้นก็คงจะดีนะ” “ข้าจะช่วยคาบพวกเจ้าไปส่งบึงโน้นทีละตัวก็ได้
นกกระยางอยากกินปลาเลยออกอุบายว่าจะช่วยพาฝูงปลาไปที่หนองน้ำแห่งใหม่
คาบแล้วก็กิน เอ้ย..คาบแล้วก็ส่งลงน้ำแล้วก็บินมารับตัวใหม่ดีไหมล่ะ” “จริงเหรอ ข้ากลัวเจ้าจะโกหกนะสิ” “ถ้าอย่างนั้นเพื่อให้พวกเจ้าแน่ใจ พวกเจ้าก็ส่งตัวแทนไปดูบึงนั้นก่อนก็ได้ เอาไหมล่ะ” เหล่าปลาในแอ่งน้ำเล็กจึงช่วยกันหาผู้แทนไปตามข้อเสนอ “ให้ใครไปดีหล่ะ ชั้นไม่เอาด้วยน่ะ ถ้านกนั่นหลอกชั้น ก็โดนกินฟรีนะซิ” “อือ...นึกออกแล้วว่าจะให้ใครไป”
ฝูงปลาต่างปรึกษากันว่าจะส่งใครเป็นตัวแทนในการไปดูหนองน้ำแห่งใหม่
ในที่สุดฝูงปลาก็ตกลงใจคัดเลือกปลาหมอตัวโตมีเกล็ดแข็งและอยู่บนบกได้นานกว่าใครเป็นตัวแทนไปสำรวจบึงแห่งใหม่ “เอาหล่ะ เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้นะเจ้าปลาหมอ ข้าจะบินละน่ะ” นกยางบินไปสักพักก็พบบึงใหญ่ตามที่พูดไว้ นกยางปล่อยปลาหมอว่ายสำรวจจนทั่วบึง เจ้าปลาหมอแหวกว่ายอย่างร่าเริงใจไม่คิดสงสัยเจ้านกยางเลยสักนิด
นกกระยางคาบปลาหมอซึ่งเป็นตัวแทนปลาทั้งหลายไปดูหนองน้ำแห่งใหม่
เมื่อได้เวลานกยางก็คาบปลาหมอกลับจากบึงสวยงามนั้นกลับไปบอกกล่าวแก่เพื่อนปลาตัวอื่นๆ ในแอ่งเล็กนั้น “มาแล้วๆๆๆ ปลาหมอกับนกยางมาโน้นแล้ว” “เป็นยังไงบ้าง มีบึงใหญ่อย่างเจ้านกนั่นว่าไหม” “มีสิ น้ำเย็นใสแจ๋วเลย อาหารก็อุดมสมบูรณ์ สระบัวใหญ่กว้างขวาง ข้านะว่ายไปสำรวจมาหมดแล้ว”
ปลาหมอแหวกว่ายในหนองน้ำสำรวจทุกอย่างด้วยความเบิกบานใจ
“ว๊าว ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็รอดตายแล้วละสิ ฮะฮ่ะฮ่า” “เจ้านกยางพาข้าไปก่อนเลยนะ คาบแบบเต็มที่เลยอย่าปล่อยให้ตกแล้วกัน” ปลาทุกตัวมารวมกันเพื่อเข้าคิวรอนกยางมาคาบไปทีละตัว หวังจะไปใช้ชีวิตที่บึงใหญ่ตามคำบอกเล่า โดยลืมคิดไปว่านกยางนั้นกินปลาเป็นอาหาร
ฝูงปลาโดนนกกระยางหลอกมากินทีละตัวจนหมดไม่มีเหลือแม้แต่ตัวเดียว
ในวันนั้นนกยางคาบเอาปลาบินไปส่งจนหมด แต่หาใช่ส่งไปบึงใหญ่ไม่ มันเอามาจิกกินบนฝั่งอย่างสำราญใจมิได้ส่งลงน้ำตามข้อตกลงแม้แต่ตัวเดียว ในที่สุดปลาในแอ่งเล็กนั้นก็หมดเกลี้ยงเหลือเพียงแค่ปูตัวหนึ่งเดินงุ่มง่ามอยู่ในดินเลน “จ๊ะเอ๋ เจ้าปูน้อยไม่สนใจไปลงสระใหญ่ที่ป่าฝากโน้นบ้างเหรอ
เจ้าปูน้อยหลงเหลืออยู่ในหนองน้ำที่กำลังจะแห้งเพียงแค่ตัวเดียว
ปลาพวกนั้นนะมันแหวกว่ายมีความสุขในบึงกันหมดแล้วน่า มามะ....ข้าจะบริการให้เที่ยวสุดท้ายแล้วน่ะเนี่ย” “ข้าก็อยากไปเหมือนกัน แต่ตัวข้าเป็นกระดองแข็ง ถ้าท่านคาบไปข้ากลัวจะตกลงมานะสิ ท่านคาบไม่ถนัดแน่ๆ กระดองแข็งก็แข็ง ลื่นก็ลื่น ข้าคงตกมาตายก่อนถึงบึงใหญ่นะสิ”
เจ้าปูน้อยขอหนีบคอนกกระยางไปหนองน้ำแห่งใหม่เพราะไม่ไว้ใจในคำพูดของนกกระยาง
เจ้าปูนั้นไม่ไว้ใจนกยางเลยแต่จำต้องย้ายที่อยู่ จึงทำอุบายขอหนีบคอนกด้วยก้ามที่แข็งแรงของตนแล้วให้นกบินพาไป “ให้เราหนีบที่คอท่านได้ไหมล่ะ เราจะหนีบแบบเบาๆ ก็พอ เอาแบบอยู่ได้ไม่ต้องตก” “ก็ได้ๆ บีบเบาๆ หล่ะ บีบแรงน่ะข้าหายใจไม่ออก”
เจ้าปูน้อยหนีบคอนกกระยางเหตุเพราะนกกระยางไม่ไปส่งที่หนองน้ำตามสัญญา
“อันนี้มีของหวานพิเศษอยากลองกินเนื้อปูมานานแล้ว ลาภปาก” เมื่อร่อนมาที่บึงใหญ่นกยางก็นำปูมาทางตลิ่งไม่พาลงสระน้ำตามวาจา“นี่เจ้าจะพาข้าไปไหน บึงน้ำอยู่ทางโน้นต่างหาก” “อะๆ อะอ้า ขืนให้ลงน้ำก็อดกินเจ้านะสิเจ้าปูโง่ ฮะฮ้าๆๆ หวานปากข้าหล่ะ หือ..มาเป็นอาหารข้าซะดีกว่า”
นกกระยางยอมมาส่งเจ้าปูน้อยที่หนองน้ำและสิ้นใจตายในที่สุดเพราะถูกหนีบคอ
“นี่เจ้าจะกินข้าอย่างงั้นรึ นี่หนีบซะ ข้าจะหนีบคอเจ้าให้ขาดไปเลย” “อ๊าก อ้า ยอมแล้ว โอ๊ย...ข้าพาไปส่งในบึงแล้ว” ด้วยความเจ็บปวดและหายใจไม่ออกเจ้านกยางจึงยอมพาปูบินมาถึงบึงใหญ่ตามต้องการแต่อนิจจาเมื่อปูปล่อยก้ามออกจากคอนกยางก็สิ้นลมหายใจเสียแล้ว
การกระทำของปูและนกกระยางได้อยู่ในสายตารุกขเทวาซึ่งสิงสถิตในต้นไม้ใหญริมหนองน้ำ
ส่วนปูก็อาศัยบึงใหญ่ต่อไปจนสิ้นอายุขัย รุกขเทวดาซึ่งสิงสถิตอยู่ในต้นไม้ใหญ่ริมบึงเห็นเหตุดังนั้นโดยตลอดจึงกล่าวสุภาษิตสอนใจว่า บุคคลใดใช้ปัญญาหลอกลวงผู้อื่นย่อมไม่ได้รับความสุขเป็นนิจ เพราะผู้ใช้ปัญญาหลอกลวงผู้อื่นย่อมประสบผลบาปกรรมที่ตนทำไว้เหมือนนกกระยางถูกปูหนีบคอฉะนั้น
ในสมัยพุทธกาลต่อมา
นกยาง กำเนิดเป็น พระจีวรวัฒฑกะแห่งเชตะวัน
ปู กำเนิดเป็น พระจีวรวัฒฑกะแห่งชนบท
รุกขเทวา เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า
http://dmc.tv/a11578