วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

กุกกุรชาดก-ชาดกว่าด้วยการสงเคราะห์ญาติ

 พญาสุนัขผู้มีใจโอบอ้อมอารีมีความยุติธรรมช่วยเหลือเกื้อกูลหมู่ญาติ
    ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาลพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายนั่งสนทนากันอยู่ ณ เชตะวันมหาวิหาร ถึงเรื่องที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงช่วยให้พระประยูรญาติจำนวนมากได้บรรลุธรรมถึงความพ้นทุกข์ และในจำนวนนั้นมีพระประยูรญาติหลายพระองค์ได้มาเป็นกำลังใจในการเผยแพร่แผ่พระพุทธศาสนา มีพระอานนท์เป็นต้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสเล่าชาดก แก่เหล่าภิกษุสงฆ์ ณ เชตวันมหาวิหาร
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสเล่าชาดกแก่เหล่าภิกษุสงฆ์ ณ เชตวันมหาวิหาร
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบถึงข้อสนทนานั้น จึงตรัสว่า “ดูก่อนว่าหมู่ภิกษุทั้งหลายมิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่ตถาคตได้นำประโยชน์ มาสู่หมู่ญาติ แม้ในกาลก่อนตถาคตก็เคยนำประโยชน์มาสู่หมู่ญาติแล้วเช่นกัน” แล้วพระองค์ได้ทรงนำกุกกุรชาดกมาตรัสเล่าดังนี้ ในอดีตกาลสมัยพระเจ้าพรหมทัตปกครองกรุงพาราณสี
พระเจ้าพรหมทัตทรงเสด็จกลับจากการประพาสอุทยาน
พระเจ้าพรหมทัตทรงเสด็จกลับจากการประพาสอุทยาน
    พระองค์ทรงโปรดการเสด็จประพาสอุทยานมาก วันหนึ่งพระองค์เสด็จประพาสพระอุทยานจนเวลาเย็นมากแล้วจึงเสด็จกลับ “ทหารพระเจ้าพรหมทัตทรงเสด็จกลับมาแล้ว ถวายการต้อนรับเร็วเข้า” “โอย..เหนื่อยจัง เข้าป่าตั้งแต่เช้าจนถึงเย็นเลยเนี่ย” ในเย็นวันนั้นราชบุรุษไม่สามารถลากราชรถได้ จึงจอดทิ้งไว้นอนโรงรถ
ราชรถถูกจอดทิ้งไว้นอกโรงเก็บ
ราชรถถูกจอดทิ้งไว้นอกโรงเก็บ
    เสด็จขึ้นตำหนักเถิดพระเจ้าข้า ฝนใกล้จะตกแล้ว” “ฮึย!. ฝนใกล้จะตกแล้วจอดทึ้งไว้ข้างนอกก่อนก็แล้วกันลากเก็บไม่ทันแล้ว” คืนนั้นฝนตกทั่วพระนคร ราชรถของพระเจ้าพรหมทัตที่จอดไว้นอกโรงเก็บก็ชุ่มไปด้วยน้ำฝน หนังหุ้มเบาะของราชรถเมื่อถูกฝนก็อ่อนตัวลงและส่งกลิ่นเหม็นตุๆ กลิ่นแบบนี้เป็นของโปรดสำหรับเหล่าสุนัข
ฝนตกทั่วพระนคร ราชรถที่จอดทิ้งไว้เปียกชุ่มไปด้วยฝน
ฝนตกทั่วพระนครราชรถที่จอดทิ้งไว้เปียกชุ่มไปด้วยฝน
  
    ซึ่งสุนัขในวังฝูงหนึ่งได้กลิ่น “หือ..หอม กลิ่นอะไรเนี่ยช่างหอมเหลือเกิน” “หอมเตะจมูกจริงๆ ทนไม่ไหวแล้ว พวกเรา...ลุย” “เดินตามกลิ่นไป หอมๆๆๆ” ฝูง สุนัขที่เหล่าราชบุรุษเลี้ยงไว้พากันวิ่งตามกลิ่นอันยั่วยวนใจนั้น จนถึงโรงเก็บ “ฮ้าๆ พวกเราเจอแล้ว โอ้..นี่มันเป็นกลิ่นเบาะหนังบนรถพระราชานี่เอง นี่แหละที่เราต้องการ ฮะ ฮาฮ่า”
กลิ่นเบาะหนังของราชรถส่งกลิ่นโชยตลบอบอวล เป็นที่สนใจของสุนัขในวัง
กลิ่นเบาะหนังของราชรถส่งกลิ่นโชยตลบอบอวลเป็นที่สนใจของสุนัขในวัง
    “ตามหามานานในที่สุดก็พบ” “จะช้าทำไมเล่า ลุยเลยพวกเรา” และแล้วเบาะหนังชุ่มน้ำก็กลายเป็นอาหารกินเล่นของเหล่าสุนัขในวัง “หือ อร่อย อร่อยอย่างแรงเลย” “มันจริงๆ ทั้งเค็มทั้งมันอร่อยถูกใจ” “โอ๊ยพี่ แบ่งกันบ้างซิ ตรงนี่มันแทะอยากนะ” “กินมั่งๆ ขึ้นไม่ได้อ่ะ ลากข้าขึ้นไปหน่อยซิ” “อะไรเนี่ย ไม่เรียกเลยแอบกินกับอยู่ 4 ตัว
สุนัขในวังพากันมารุมกัดกินเบาะหนัง หุ้มราชรถอย่างเพลิดเพลิน
สุนัขในวังพากันมารุมกัดกินเบาะหนังหุ้มราชรถอย่างเพลิดเพลิน
   
    หลีกๆ ให้ข้ากินมั่ง” รุ่งเช้าราชบุรุษมาเห็นหนังหุ้มเบาะราชรถอยู่ในสภาพขาดวิ่นไปทั้งคันเช่น นั้นก็ตกใจ “เฮ้ย สุนัขที่ไหนมันกล้ามาทำอย่างนี้เนี่ย อ้อ ต้องเป็นสุนัขนอกวังมันแอบเล็ดลอดเข้ามาทางท่อน้ำแน่ๆ สุนัขไม่ได้รับการสั่งสอน ก็อย่างนี้แหละชั้นต่ำที่สุด สู้สุนัขที่เราเลี้ยงมาในวังก็ไม่ได้ น่ารัก น่าเอ็นดูซื่อสัตย์มีสกุล”
ราชบุรุษต้องตกใจกับสภาพราชรถ ที่ถูกสุนัขกัดกินไปทั่วทั้งคัน
ราชบุรุษต้องตกใจกับสภาพราชรถที่ถูกสุนัขกัดกินไปทั่วทั้งคัน
    “ใช่แล้วขอรับ สุนัขที่เราเลี้ยงแต่ละตัวต่างได้รับการอบรมอย่างดี มันไม่ทำเรื่องอย่างนี้แน่” เมื่อ ราชบุรุษคิดได้เช่นนั้น จึงให้กรมวังนำเรื่องกราบบังคมทูลให้พระเจ้าพรหมทัตทรงทราบ “หม่อมฉันมีเรื่องกราบทูลพะยะค่ะ มีสุนัขจรจัดมันแอบเข้ามาในวัง แล้วมันก็เข้ามากัดเบาะหนังราชรถพังเสียหายเลยพระเจ้าค่ะ” “บังอาจมาก เจ้าจงสั่งทหารให้ไปฆ่าสุนัขทุกตัวที่พบ
กรมวังได้กราบทูลพระเจ้าพรหมทัต เรื่องราชรถที่ถูกกัดกินจากฝีมือสุนัข
กรมวังได้กราบทูลพระเจ้าพรหมทัตเรื่องราชรถที่ถูกกัดกินจากฝีมือสุนัข
  
    เว้นไว้แต่สุนัขที่เลี้ยงไว้ในวังเท่านั้น” “พวกเรามีงานด่วน ต้องฆ่าสุนัขจรจัดในวังให้หมด” “ฮิๆๆ สมน้ำหน้ามัน บังอาจมาแทะเบาะหนังราชรถซะขนาดนั้น” “ชิ ตัวเองไม้รู้จักเก็บราชรถให้ดี แล้วยังมาโทษสุนัขอีก” “ได้ยินเสียงใครนินทาแว่วๆ” “นี่แน่ะต้องฆ่าให้หมดตามคำสั่ง ฮ่ะ ฮ้าๆ” ในครั้งนั้นพวกสุนัขภายนอกราชวังถูกฆ่าตายมากมายราวใบไม้ร่วง
เหล่าทหารได้รับมอบหมายให้ฆ่าสุนัขทุกตัวที่พบเห็น
เหล่าทหารได้รับมอบหมายให้ฆ่าสุนัขทุกตัวที่พบเห็น
    ตัวไหนที่ยังไม่ตายก็ต้องคอยหลบซ่อนอย่างทรมาน “เฮ้ยพวกเราหนีเร็ว เร้ว วิ่งหนีเร็ว” ใน 7 ราตรีนั้นนอกกำแพงกรุงพาราณสีดูจะไร้ร่างสุนัขใดที่มีชีวิตเหลืออยู่เลย “เหอะๆ ๆ ฮ้าๆ เรานี่เก่งจริงๆ คนเดียวฆ่าสุนัขได้ตั้งหลายตัว ต้องรีบฆ่าให้ตายให้หมดเมืองดีกว่า แต้มจะได้เพิ่ม เหอะๆ ๆ ฮ้าๆ” “เอ้าอย่ามัวแต่คุยกันยังเหลือหมู่บ้านข้างหน้าอีก”
สุนัขนอกวังถูกทหารไล่ฆ่าอย่างไม่ปราณี
สุนัขนอกวังถูกทหารไล่ฆ่าอย่างไม่ปราณี
  
    สุนัขทั้งหลายต้องอดอยากยากแค้นแสนสาหัส มันทั้งหลายจึงคิดจะไปขอความช่วยเหลือจากพญาสุนัขที่ป่าช้านอกเมือง โดยหลบออกไปทางอุโมงค์ใต้ดิน “ปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ได้แล้วพวกเรา ไปขอพึ่งบารมีพญาสุนัขกันเถอะ” “ใช่อยู่อย่างนี้ มีแต่ตายกะตาย เราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว” “ไป เดินเข้าเร็ว อดทนอีกหน่อยพวกเรา”
นอกกำแพงกรุงพาราณสีมีแต่ร่างสุนัขที่ไร้วิญญาณ
นอกกำแพงกรุงพาราณสีมีแต่ร่างสุนัขที่ไร้วิญญาณ
  
    เมื่อพญาสุนัขได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น จึงปลอบโยนบริวารทั้งหลายให้หายวิตกและรับปากว่าจะช่วยสุนัขทุกตัวให้รอดชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยอย่างที่เคยเป็น “ท่าน พญาสุนัขช่วยพวกเราให้รอดตายด้วยเราไม่อยากโดนตามฆ่าอย่างไม่มีความผิดเช่น นี้” “ใช่ ทำไม่พวกทหารต้องมาฆ่าเราด้วยก็ไม่รู้ พี่น้องหมาของเราต้องสังเวยชีวิตอย่างไม่มีเหตุผลไปเยอะแล้ว”
สุนัขที่รอดตายหนีออกทางอุโมงค์ใต้ดิน เพื่อไปขอความช่วยเหลือจากพญาสุนัข
สุนัขที่รอดตายหนีออกทางอุโมงค์ใต้ดินเพื่อไปขอความช่วยเหลือจากพญาสุนัข
    “เฮ้ย น่ากลัวเหลือเกิน” “เอาเถิด พวกเธอใจเย็นๆ ก่อน เราจะรับภาระนี้ช่วยพวกเธอเอง” แล้วพญาสุนัขก็ระลึกถึงบุญบารมี ที่ตนได้สร้างสมมา ตั้งสัตยาธิษฐาน “ด้วยบุญบารมีที่ข้าพเจ้าสร้างสมมาด้วยดีหนึ่งและจิตอันมีเมตตาเปี่ยมในสรรพ สัตว์ทั้งหลายของข้าพเจ้าหนึ่ง ขอคุณงามความดีทั้งสองประการนี้ จงช่วยคุ้มครองข้าพเจ้าขณะเดินทางไปเฝ้าพระราชาด้วย
บรรดาสุนัขที่รอดชีวิตได้เล่าเรื่องราว ที่เกิดขึ้นให้กับพญาสุนัขได้ฟัง
บรรดาสุนัขที่รอดชีวิตได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับพญาสุนัขได้ฟัง
  
    อย่าให้มีใครทำร้ายหรือคิดร้ายต่อข้าพเจ้าเลย” เมื่ออธิษฐานจิตแล้วพญาสุนัขจึงออกเดินทางไปยังพระราชวังทันที ตลอดการเดินทางอันเร่งรีบนั้นมิได้รับอันตรายใดๆ เลย เมื่อเล็ดลอดเข้าไปในพระราชวังได้แล้ว ก็ตรงไปยังท้องพระโรง “เฮ้อ..มาถึงซะทีนะเรา” ด้วยแรงอธิษฐานทำให้พระเจ้าพรหมทัตทรงมีเมตตามิให้ผู้ใดทำร้าย
พญาสุนัขได้ปลอบโยนและได้รับปาก ที่จะช่วยเหลือต่อบริวารของตน
พญาสุนัขได้ปลอบโยนและได้รับปากที่จะช่วยเหลือต่อบริวารของตน
   
    “ปล่อยให้เข้ามาเถอะ” “ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า พระองค์ทรงให้ฆ่าสุนัขทุกตัวที่พบโดยมิได้ยกเว้นเลยหรือพระเจ้าคะ” “เปล่า..สุนัขที่เราเลี้ยงไว้มิได้ถูกสั่งฆ่า” “ขอเดชะ เมื่อครั้งแรกตรัสว่าให้ฆ่าสุนัขทุกตัว แล้วเหตุใดจึงยกเว้นสุนัขในวังเล่าพระเจ้าคะ เช่นนี้พวกมิใช่ผู้ร้าย กลับได้มรณะภัย” “สุนัขที่เราเลี้ยงไว้ทุกตัวล้วนได้รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างดี
พญาสุนัขเดินทางมาถึงยังพระราชวัง
พญาสุนัขเดินทางมาถึงยังพระราชวัง
    ย่อมจะไม่กัดหนังหุ้มราชรถของเราเอง เราจึงให้เว้นไว้ เจ้าบังอาจกล่าวว่าเราสั่งฆ่าสุนัขผู้บริสุทธิ์ รู้หรือไม่ว่าใครเป็นตัวการ” “ข้าพระองค์รู้ว่าเป็นสุนัขในวังที่เป็นตัวการและสามารถพิสูจน์ได้พระเจ้า คะ” เมื่อพระราชาให้พญาสุนัขทำการพิสูจน์ พญาสุนัขจึงขอให้ราชบุรุษนำหญ้ามาขยำกับน้ำมันเปรียงแล้วคั้นเอาแต่น้ำ
พญาสุนัขได้เข้าเฝ้าพระเจ้าพระเจ้าพรหมทัต   
พญาสุนัขได้เข้าเฝ้าพระเจ้าพระเจ้าพรหมทัต 
  
    แล้วนำไปให้สุนัขในวังทุกตัวกิน “หือ..เหม็น จัง กินแล้วต้องได้คลื่นไส้กันมั่งหละ มาลูกๆ มากินกันเร็ว ทีนี้ก็จะได้รู้ละว่าใครเป็นตัวการ” “แหวะ..เหม็นจัง เอาอะไรมาให้เรากินเนี่ย แค่ได้กลิ่นก็จะอ๊วกแล้ว ใครจะไปกินลง อี๊ไม่เอา..ไม่กินๆ” “เหม็นๆๆ ไม่กินๆ” ราชบุรุษช่วยกันจับสุนัขทุกตัวในวังมากรอกยาใส่ปาก
ราชบุรุษนำหญ้ามาขยำกับน้ำมันเปรียง แล้วคั้นเอาแต่น้ำนำมาให้สุนัขกิน
ราชบุรุษนำหญ้ามาขยำกับน้ำมันเปรียงแล้วคั้นเอาแต่น้ำนำมาให้สุนัขกิน 
    สุนัขเหล่านั้นเมื่อได้กลืนยาเข้าไป ก็สำรอกเอาชิ้นส่วนหนังหุ้มราชรถออกมามาจนหมด “แหวะ..เอาอะไรมาให้กินก็ไม่รู้ เหม็นฮะ อ๊วก....ออกมาเป็นแผ่นเลย” “เฮ้ย..นี่มันเบาะรถนี่น่า” พระเจ้าพรหมทัตทอดพระเนตรเห็นดังนั้นแล้ว ก็เข้าพระทัยทุกอย่างได้อย่างแจ่มแจ้ง พระองค์ทรงไว้วางพระทัยราชบุรุษมากเกินไป
สุนัขในวังสำรอกเอาชิ้นส่วนหนังหุ้มราชรถออกมา
สุนัขในวังสำรอกเอาชิ้นส่วนหนังหุ้มราชรถออกมา
    ทรงมีความลำเอียงเพราะรักและเมตตาสุนัขที่พระองค์เลี้ยงไว้ จนทำให้ต้องสร้างบาปกรรมมากมาย “เราขอเนรเทศสุนัขในวังออกไปให้หมด ยกเลิกการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทั้งปวงตั้งแต่บัดนี้” “พะยะคะ” “น่าสงสารสุนัขที่พวกเราฆ่ามันไปนะ” “ยกโทษให้เราด้วยนะ...เราผิดไปแล้ว” “สำหรับพญาสุนัขแม้จะเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่ก็มีจิตใจโอบอ้อมอารี มีความอาจหาญยิ่งนัก
พญาสุนัขและบริวารได้รับการเลี้ยงดูจากพระเจ้าพรหมทัต
พญาสุนัขและบริวารได้รับการเลี้ยงดูจากพระเจ้าพรหมทัต
  
    กล้าเอาชีวิตของตนเองเสี่ยงกับความตายเพื่อความยุติธรรม เพื่อความสงบสุขของหมู่ญาติทั้งปวง จงมีความสุขจากการเลี้ยงดูของเราเถิด” พระเจ้าพรหมทัตโปรดให้บำรุงเลี้ยงสุนัขทั้งหลายด้วยอาหารอย่างดีตลอดไป และทรงห้ามมิให้ฆ่าสัตว์ทั้งหลายในกรุงพาราณสีด้วย พญาสุนัขจึงแสดงทศพิธราชธรรมถวายและขอร้องให้พระองค์ตั้งมั่นอยู่ในศีล 5
พระเจ้าพรหมทัตและข้าราชบริพารเมื่อละโลกแล้ว ได้ไปบังเกิดในวิมานตามกำลังบุญของตน
พระเจ้าพรหมทัตและข้าราชบริพารเมื่อละโลกแล้วได้ไปบังเกิดในวิมานตามกำลังบุญของตน
    ให้บำรุงพระชนกชนนี ดำรงอยู่ในความไม่ประมาทตลอดไป “อร่อยจัง เพิ่งรู้ว่าอาหารในวัง อร่อยอย่างนี้นี่เอง มิเสียแรงที่อุตส่าห์เอาชีวิตรอดมาได้ อร่อยๆ” “โห้..กินจนจุกไปหมดแล้ว อิ่มสุดๆ” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพระเจ้าพรหมทัตและข้าราชบริพารต่างประพฤติธรรมตามโอวาท ของพญาสุนัข ครั้นละโลกไปแล้วต่างได้ไปบังเกิดในสรวงสวรรค์กันทั้งสิ้น
ในสมัยพุทธกาล พระเจ้าพรหมทัต ได้มาเป็น พระอานนท์
สุนัขที่เหลือ ได้มาเป็น พุทธบริษัททั้งหลาย
พญาสุนัข เสวยพระชาติเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระคาถาประจำชาดก
เยกุกกุรา ราชกุลสฺมิ วฑฺฒา
โกเลยฺยกา วณฺณพลูปปนฺนา
เตเม น วชฺฌา มยมสฺม วชฺฌา
นายํ สมจฺจา ทุพฺพลมาติกายํ
สุนัขเหล่าใดอันบุคคลเลี้ยงไว้ในราชตระกูล
เป็นสัตว์มีเจ้าของสมบูรณ์ด้วยสีสันและกำลัง
สุนัขเหล่านั้นไม่ถูกฆ่า พวกเรากลับถูกฆ่า
เมื่อเป็นเช่นนี้จะว่าเที่ยงตรงคือฆ่าไม่เลือกหน้าได้อย่างไ
กลับเป็นการฆ่าไม่ปราณีเฉพาะสุนัขที่ไม่มีเจ้าของต่างหาก
CR : http://dmc.tv/a11844