วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

สัตติคุมพะชาดก-ชาดกว่าด้วยเรื่องการคบหาคนพาล

นกแขกเต้าบุปผกะซึ่งถูกเลี้ยงดูจากพระฤาษี
   สารัตถะแห่งพระพุทธศาสนาข้อสำคัญที่ประจักษ์แจ้งทั่วกันอย่างหนึ่งก็คืออนิจจัง ความไม่เที่ยงไม่จีรังยั่งยืนของสรรพสิ่ง ในแผ่นดินมคธ ซึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปักธงชัยประกาศศาสนาไว้ ก็ไม่พ้นจากความจริงจากข้อนี้ได้
บ้านเมืองในยามที่สิ้นอำนาจพระเจ้าพิมพิสาร
บ้านเมืองในยามที่สิ้นอำนาจพระเจ้าพิมพิสาร
    เมื่อสิ้นอำนาจพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าอชาตศัตรูผู้ทำปิตุฆาตขึ้นครองมคธตามคำยุยงของพระเทวทัตก็สร้างพุทธสถานใหม่ขึ้นที่คยาสีสะแยกสงฆ์ออกเป็นสองส่วน ภิกษุบวชใหม่เกือบทั้งหมดกับเครื่องบริขารออกเดินตามหลังพระเทวทัตไปจำพรรษา ณ พระอารามใหม่นั้น
ภิกษุบวชใหม่เกือบทั้งหมดได้จำพรรษา ณ พระอารามใหม่
ภิกษุบวชใหม่เกือบทั้งหมดได้จำพรรษา ณ พระอารามใหม่
  
    มอบตัวเป็นศิษย์และปฏิบัติตามคำสอนที่พระเทวทัตบัญญัติขึ้นใหม่อย่างหลงผิด “ข้าวของเครื่องใช้ที่อำนวยความสะดวกทั้งหลายเราเก็บมาหมดแล้วพระพุทธเจ้าค่ะ เมื่อไปอยู่ที่ใหม่คงสะดวกสบายขึ้นเยอะนะพระพุทธเจ้าค่ะ”
พระอัครสาวก
พระอัครสาวก
    กาลต่อมาแม้ว่าพระอัครสาวกเบื้องขวาเบื้องซ้ายของพระพุทธองค์ คือพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะจะนำกลับมาได้ทั้งหมด แต่ปริศนาอันเป็นข้อวิพากษ์อยู่ไม่คลายเกี่ยวกับภิกษุสงฆ์ที่ไปใกล้ชิดพระเทวทัตก็คือยังจะมีพระธรรมวินัยและจิตรธรรมครบถ้วนอยู่หรือไม่
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสเล่าชาดก
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสเล่าชาดก
    สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงมีบุพเพนิวาสานุสติญาณหยั่งรู้ในสรรพชีวิตทุกภพชาติจึงทรงมีพระกรุณาธิคุณตรัสเล่าชาดกแสดงโทษของการคบหาคนพาลขึ้นในสัตติคุมพะชาดกว่า
ในยุคสมัยพระเจ้าปัญจาละทรงครองประเทศอุตตรปัญจาละ
ในยุคสมัยพระเจ้าปัญจาละทรงครองประเทศอุตตรปัญจาละ
    กาลครั้งหนึ่งยุคสมัยที่พระเจ้าปัญจาละครองประเทศอุตตรปัญจาละ ยังมีนกแขกเต้าพี่น้องสองตัวถูกพายุกรรโชกพัดออกไกลจากรังที่อาศัย นกแขกเต้าทั้งสองปลิวคว้างมาตามแรงลมและผลัดแยกออกจากกันตั้งแต่บัดนั้น
นกแขกเต้าสองพี่น้องถูกลมพายุพัดร่วงหล่นไปคนละทาง
นกแขกเต้าสองพี่น้องถูกลมพายุพัดร่วงหล่นไปคนละทาง
    “โอ้ย ลมแรง ลมพัดแรงเหลือเกิน โอ้ย..” “พี่ๆ ๆ ท่านพี่เราต้องจากกันเพราะลมนี้หรือนี่” นกตัวพี่ถูกลมพัดร่วงหล่นไปในป่าอันเขียวขจีร่มเย็นทางทิศเหนือ ที่นี่เป็นสถานบำเพ็ญธรรมของเหล่าฤาษี นกแขกเต้าร่วงหล่นลงมาบนกองดอกไม้แท่นบูชา
นกแขกเต้าตัวพี่ถูกลมพัดมาตกลงบนแท่นบูชาหน้าอาศรมฤาษี
นกแขกเต้าตัวพี่ถูกลมพัดมาตกลงบนแท่นบูชาหน้าอาศรมฤาษี
    “ฮะ..เจ้านกน้อยโชคดีของเจ้านะเนี่ยที่ตกลงบนดอกไม้พอดี ไม่งั้นเจ้าคงต้องบาดเจ็บแน่ๆ มามะ มาเถิดเราจะดูแลเจ้าเอง” พระฤาษีเก็บนกตัวนั้นเลี้ยงดูไว้ใกล้อาศรมตั้งชื่อให้ว่า บุปผกะ บุปผกะได้ฟังธรรมะและคำสอนซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ดีมีคุณต่อตนและผู้อื่น ทุกวันจิตใจก็เยือกเย็นอยู่ในกระแสธรรม
ฤาษีได้สอนธรรมะและคำสอนที่ดีงามแก่นกแขกเต้าตัวพี่
ฤาษีได้สอนธรรมะและคำสอนที่ดีงามแก่นกแขกเต้าตัวพี่
    “อันบาปกรรมเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ แม้แต่การคิดร้ายต่อบุคคลอื่นกรรมนั้นก็จะทำให้เรามีจิตใจไม่สงบ ดำรงจิตใจอันหม่นหมอง” “ดีนะท่านฤาษีที่ท่านสอนให้ผมกินแต่ผลไม้ ไม่กินหนอนเหมือนตัวอื่นๆ ไม่งั้นผมคงต้องทำบาปทำกรรมกับเจ้าหนอนพวกนั้น”
นกแขกเต้าตัวน้องได้ถูกลมพัดมาตกที่รังโจรเคราดำ
นกแขกเต้าตัวน้องได้ถูกลมพัดมาตกที่รังโจรเคราดำ
    ส่วนนกแขกเต้าผู้เป็นน้อง ถูกกระแสลมส่งมาตกในโรงเก็บอาวุธภายในรังโจรเคราดำผู้ดุร้าย “อ้าวนกแขกเต้านี่น่ามาตกอยู่ตรงนี้ได้ไงนี่ ดีนะที่ไม่ตกลงมาโดนคมหงอกนะ ไหนๆ ก็ ไหนๆแล้ว ข้าจะช่วยเลี้ยงแกก็ได้ เผื่อจะมีประโยชน์มั่ง”
นกแขกเต้าตัวน้องนาม "สัตติคุมพะ" ได้เติบโตในชุมชนของโจร
นกแขกเต้าตัวน้องนาม "สัตติคุมพะ" ได้เติบโตในชุมชนของโจร
    นกแขกเต้าผู้น้องเติบโตขึ้นในชุมชนโจร ได้รู้เห็นแต่การกระทำชั่ว ได้ยินแต่คำพูดไม่ดีตลอดมาก็จดจำเป็นนิสัย “ชื่อสัตติคุมพะก็แล้วกัน เพราะข้าเจอแกในกองอาวุธนี่น่า เหมาะกับแกเลยนะเนี่ย มาอยู่กับข้านะ ข้าจะสอนแกปล้น จี้ เจ้านกสัตติคุมพะ”
พระเจ้าปัญจาละทรงเสด็จประพาสป่าล่ากวาง
พระเจ้าปัญจาละทรงเสด็จประพาสป่าล่ากวาง
    ต่อมาอีกไม่นานป่าไม่ชายแดนบริเวณนี้ก็มีขบวนประพาสป่าล่ากวางของพระเจ้าปัญจาละผ่านมา พระราชาปัญจาละเสด็จมายังป่าใกล้รังโจรโดยไม่รู้พระองค์ เพราะทรงติดตามรอยกวางมาอย่างสำราญพระทัย
กวางตัวหนึ่งวิ่งผ่านหน้าพระพักตร์พระเจ้าปัญจาละ
กวางตัวหนึ่งวิ่งผ่านหน้าพระพักตร์พระเจ้าปัญจาละ
    “ตามไปทางนั้นซิทหาร เราว่าเจ้ากวางต้องวิ่งหนีไปทางนั้นแน่ๆ” “ข้างหน้านั่นรึพระเจ้าค่ะ” “นั่นไงในป่าโป่งข้างหน้านะ มีหญ้าอ่อนอยู่ แสดงว่าต้องมีกวางให้ยิงแน่ๆ ทุกคนฟังนะหากแม้นว่าไล่ต้อนกวางจนมันหนีออกมาแล้ว หากผู้ใดปล่อยให้กวางหนีออกไปทางตนเองได้เราจะลงโทษอย่างหนัก”
พระเจ้าปัญจาละทรงสั่งทหารให้ล้อมจับกวางให้ได้
พระเจ้าปัญจาละทรงสั่งทหารให้ล้อมจับกวางให้ได้
    เมื่อพระเจ้าปัญจาละตรัสจบก็มีกวางเจ้ากรรมวิ่งผ่านพระพักตร์เหมือนจะลองดี “เฮ้ยเจ้ากวาง โธ่เอ้ยหนีไปทางนั้นซะได้ ทหารรีบล้อมจับกวางตัวนั้นไว้ หนอยแน่..ท้าทายเราใช่มะ ไม่รอดแน่เจ้ากวางเอ๋ย”
พระเจ้าปัญจาละทรงควบม้าไล่ตามกวางไปอย่างรวดเร็ว
พระเจ้าปัญจาละทรงควบม้าไล่ตามกวางไปอย่างรวดเร็ว
    ด้วยขัตติยมานะของราชา พระเจ้าปัญจาละก็ควบขับม้าทรงตามไล่กวางนั้นไปอย่างเร็ว จนข้าทหารทุกคนไม่มีใครเสด็จได้ทัน “เฮ้ยเจ้ากวางตัวนี้วิ่งเร็วน่าดู แต่จะหนีม้าเร็วของเราไปได้อย่างไร แบบนี้มันต้องเจอกันหน่อยซะแล้ว”
ขุนศึกวัยชราขี่ม้าติดตามพระราชาจนพบ
ขุนศึกวัยชราขี่ม้าติดตามพระราชาจนพบ
    มีแต่ขุนศึกวัยชราเท่านั้นที่ขี่ม้าติดตามพระราชาจนพบ ทั้งสองตามรอยกวางขาวตัวนั้นจนเหนื่อยล้า แต่ก็ไม่เห็นแม้เงากวาง “ข้างหน้ามีต้นไม้ใหญ่ประทับพักที่นั่นก่อนเถิดพระเจ้าค่ะ” “ดีเหมือนกันเราชักจะเหนื่อยแล้ว”
พระเจ้าปัญจาละทรงประทับนั่งใต้โคนไม้ใหญ่
พระเจ้าปัญจาละทรงประทับนั่งใต้โคนไม้ใหญ่
    พระเจ้าปัญจาละประทับยังโคนไม้นั่งอยู่ไม่นานนักก็ไม่อาจพักอย่างสำราญได้ เพราะรำคาญพระทัยกับเสียงนกตัวหนึ่ง “โอ้ ทอง เพชร พลอย ถอดมาๆๆๆ เอามาเร็วเข้านะ เอามาๆๆ เร็ว” “เฮ้อรำคาญจริงๆ เสียงใครที่ไหนเนี่ย”
นกสัตติคุมพะบินมาเห็นพระราชาซึ่งพระวรกายประดับไปด้วยเพชรพลอย
นกสัตติคุมพะบินมาเห็นพระราชาซึ่งพระวรกายประดับไปด้วยเพชรพลอย
    นกตัวนี้คือสัตติคุมพะ ซึ่งอาศัยอยู่กับโจรป่า พฤติกรรมต่างๆ จึงเหมือนกับเหล่าโจร “ปล้น ปล้นมันเลย ฆ่ามันๆ ฆ่ามันให้หมด” สัตติคุมพะบินดูลาดเลาจนพอใจแล้วก็รีบกลับมารังโจร เพื่อไปนำทางพรรคพวกมาปล้นทรัพย์ แต่บังเอิญทุกคนออกไปปล้นชิงกันหมด คงเหลือเพียงพ่อครัวคนหนึ่งเท่านั้น
นกสัตติคุมพะกลับมารายงานโจรเพื่อให้ออกไปปล้นเหยื่อที่ตนเห็น
นกสัตติคุมพะกลับมารายงานโจรเพื่อให้ออกไปปล้นเหยื่อที่ตนเห็น
    “เร็วเข้าๆ ปล้นมันเร็ว ฆ่ามันเลย ฆ่ามันให้หมด ปล้นมัน” “เอ้..เจ้านกนี่มันบอกให้ไปปล้นใครวะเนี่ย เห็นของดีเข้าละซิ สัญชาติญาณนกโจรจริงนะเจ้านี่ ไป ๆๆๆ ไปดูก็ได้”  “นั่นไงใต้ต้นไม้นั่นไง ปล้นเลย ปล้นเอามาชิงเอาทองมันมาให้หมดเลย เอาทองมา เอามาเลย”
สัตติคุมพะได้นำโจรไปหาเหยื่อที่ตนเห็น โจรจึงได้ทราบว่าเป็นพระราชา
สัตติคุมพะได้นำโจรไปหาเหยื่อที่ตนเห็น โจรจึงได้ทราบว่าเป็นพระราชา
    “เอาแล้วไง งานเข้าแล้วไม๊ละ โอ้ยเจ้านกเอ้ย นั่นมั่นพระราชากับขุนพลนะเว้ยอย่าหาที่ตายเลยแก่ ไปกลับกันเถอะ” “เอาทองมาๆ ปล้นมัน ปล้นมันเร็ว เอาทองมา” เสียงนกแขกเต้าดังจนเล็ดลอดมาให้พระเจ้าปัญจาละจับพิรุจและรู้พระองค์จนได้
ขุนศึกทูลเชิญให้พระราชาเสด็จจากที่ประทับซึ่งเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย
ขุนศึกทูลเชิญให้พระราชาเสด็จจากที่ประทับซึ่งเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย
   
    “เสด็จไปจากที่นี่เถอะพระเจ้าค่ะ ใครโผล่มาข้าพระองค์เตรียมลูกศรไว้ให้มันแล้ว” “นั่นซิ คงจะเป็นโจรแถวนี้ละมั้ง” “นั่นไงเสียงมาจากทางนั้นพระเจ้าค่ะ” “เฮ้ย ที่แท้ก็เป็นเสียงนกนั่นเอง โธ่เอ้ยเจ้านกปากเปราะ ไป๊ ไปให้ไกล รำคาญจริงเชี่ยว”
ขุนศึกเห็นนกสัตติคุมพะ จึงทราบที่มาของเสียง
ขุนศึกเห็นนกสัตติคุมพะ จึงทราบที่มาของเสียง
    “เฮ้ยๆ เหยื่อหนีแล้ว จับมันเร็วจับมัน ปลดทรัพย์มันเร็ว ปลดมันเลย” “ไอ้เจ้านกตัวนี้ไม่รู้จักที่ตายรึไง เดี๋ยวเฮอะ..พ่อจะยิงแทนกวางซะเลย” สัตติคุมพะอยู่ใกล้คนพาล จึงติดนิสัยก้าวร้าวหยาบคาย จนกลายเป็นนกแขกเต้าที่น่ารังเกียจไปอย่างน่าเสียดาย “เอาทองมาเร็ว ปลดทรัพย์ของเจ้ามา เจ้าคนขี้ขลาด ต้องตายตายซะ”
นกสัตติคุมพะถูกเลี้ยงมาด้วยโจรจึงมีนิสัยก้าวร้าวพูดจาหยาบคาย
นกสัตติคุมพะถูกเลี้ยงมาด้วยโจรจึงมีนิสัยก้าวร้าวพูดจาหยาบคาย
    ด้านพระเจ้าปัญจาละนั้นเมื่อทรงม้าผ่านป่าจนไกลจากรังโจรออกมาชั่วเวลาหนึ่ง พระทัยก็แช่มชื่นเพราะได้สดับเสียงไพเราะแว่วมาจากพุ่มไม้ใกล้ “กุลบุตรหรือธิดาใครนะพูดจาดีมีสัมมาคารวะ น่ารู้จักคบหานัก เราเข้าไปดูกันเถอะขุนพล”
พระราชาได้ยินเสียงที่ไพเราะแว่วมาจากพุ่มไม้ เลยเสด็จเข้าไปดู
พระราชาได้ยินเสียงที่ไพเราะแว่วมาจากพุ่มไม้ เลยเสด็จเข้าไปดู
    เมื่อพระราชาเสด็จมาถึงก็พบอาศรมพระฤาษีและนกแขกเต้าบุปผกะเกาะอยู่บนคอน “เชิญท่านผู้เดินทางเข้ามาพักภายในอาศรมก่อนเถิด สนทนาธรรมกันพอชื่นใจ” “เอ้า ที่แท้ก็เสียงนกแขกเต้าตัวนี้นี่เอง อึม..ช่างน่าฟังแท้ ไม่เหมือนนกตัวเมื่อกี้ เราเข้าไปคุยกับนกตัวนี้กันเถอะท่านขุนพล”
พระราชาทรงพบ นกบุปผกะ ผู้เป็นที่มาของเสียงที่ไพเราะ
พระราชาทรงพบ นกบุปผกะ ผู้เป็นที่มาของเสียงที่ไพเราะ
    พระเจ้าปัญจาละประทับใจในวาจาและกิริยาของนกแขกเต้าตัวใหม่นี้ ทรงดำเนินไปสนทนาด้วยอย่างรักใคร่ “เจ้านกเอ๋ย คนเลี้ยงดูเจ้าเป็นใคร ผู้อบรมสั่งสอนเป็นใคร ยังมีสิ่งใดเจรจาให้เรารื่นเริงอีกหรือไม่”
นกบุปผกะเชื้อเชิญพระราชาให้ประทับในที่อันควร
นกบุปผกะเชื้อเชิญพระราชาให้ประทับในที่อันควร
    “มหาบพิตรข้าน้อยนะ ชื่อว่าบุปผกะ เป็นบุตรพระดาบสซึ่งบัดนี้ออกไปหาผลไม้ในป่า ความรื่นเริงมีถวายก็แต่ทางจิตใจพระเจ้าค่ะ” บุปผกะเชื้อเชิญพระราชาให้ประทับในที่อันควรเพื่อรอขอพรจากพระดาบสซึ่งกำลังกลับมา
พระราชาทรงอิ่มเอมพระทัยในธรรมะที่ได้รับฟังยิ่งนัก
พระราชาทรงอิ่มเอมพระทัยในธรรมะที่ได้รับฟังยิ่งนัก
    ระหว่างนี้นกแขกเต้าที่ถูกเลี้ยงโดยนักบวชบัณฑิตก็ถวายธรรมข้ออานิสงส์จากการทำทานรักษาศีล เจริญภาวนาด้วยวาทะไพเราะ พระราชาก็อิ่มเอมพระทัยจนย่ำเย็น “ไม่น่าเชื่อว่าการที่เรามาคุยกับเจ้าที่เป็นแค่นก จะทำให้เราสบายใจได้มากขนาดนี้”
พระราชาได้ถวายสัตย์ต่อฤาษีว่าจะเลิกล่าสัตว์และจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม
พระราชาได้ถวายสัตย์ต่อฤาษีว่าจะเลิกล่าสัตว์และจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม
    เมื่อพระฤาษีกลับมา ก็ถวายพระพรให้พระเจ้าปัญจาละเจริญในทศพิราชธรรม พระราชานักล่ากวางดื่มด่ำในธรรมรสนั้น จึงถวายสัตย์ต่อท่านผู้ทรงศีล ว่าจะเลิกล่าสัตว์ตัดชีวิตและจะจัดการให้อุตตระปัญจาละกลายเป็นแผ่นดินธรรมอันร่มเย็น
ฤาษีถวายนกแขกเต้า บุปผกะ แก่พระราชา
ฤาษีถวายนกแขกเต้า บุปผกะ แก่พระราชา
    “ถวายพระพร จงทรงพระเจริญเถิดมหาบพิตร” พระฤาษีถวายนกแขกเต้าบุปผกะแก่พระราชาเป็นสิ่งเตือนใจในมงคลชีวิตข้อสำคัญข้อหนึ่ง คือการคบบัณฑิตนำสุขมาให้ “ดังเช่นนกแขกเต้าตัวผู้น้องถูกลมพัดไปอยู่กับโจร ย่อมมีกิริยาและความคิดติดไปทางร้าย ดั่งที่มหาบพิตรประสบมานั่นแหละ”
พระเจ้าปัญจาละทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม บ้านเมืองรุ่งเรืองประชาชนเป็นสุข
พระเจ้าปัญจาละทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม บ้านเมืองรุ่งเรืองประชาชนเป็นสุข
    เมื่อพระเจ้าปัญจาละเสด็จกลับมาถึงพระนครก็โปรดให้ออกพระราชกฤษฎีกาห้ามฆ่าห้ามขังสัตว์ทุกชนิด ทรงทำนุบำรุงให้ความรู้การศึกษาแก่พลเมืองเป็นภูมิคุ้มกันความชั่ว รู้จักความชั่ว และไม่เกลือกกลั้วคบหาคนชั่ว อุตตระปัญจาละก็เจริญรุ่งเรือง  ประชาชนเป็นสุขตลอดอายุขัยของพระองค์
พุทธกาลต่อมานกแขกเต้าบุปผกะ กำเนิดเป็น ภิกษุ
นกแขกเต้าสัตติคุมพะ กำเนิดเป็น ภิกษุผู้หลงเชื่อเทวทัต
หัวหน้าโจร กำเนิดเป็น พระเทวทัต
พระฤาษี เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า

CR:http://dmc.tv/a10387