อุตฺตมงฺครุหา
มยฺหํ อิเม ชาตา วโยหรา
ปาตุภูตา เทวทูตา ปพฺพชชาสมโย มมาติฯ
ความนำ
พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในวัดพระเชตวัน ใกล้เมืองสาวัตถี ทรงปรารภการออกผนวชของพระองค์เอง
ได้ตรัสพระธรรมเทศนาคือคาถาที่ปรากฏ ณ เบื้องต้น
ปัจจุบันชาติ
มีเรื่องเล่าว่า บรรดาภิกษุทั้งหลายได้นั่งสนทนากันอยู่ปรารภถึงการเสด็จออกบวชของพระพุทธเจ้า
ในขณะนั้น พระพุทธองค์เสด็จมาถึงโรงธรรมสภาเมื่อทราบเรื่องจึงตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย
ตถาคตจะออกบวชเฉพาะในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน ตถาคตก็ได้ออกบวชแบบนี้เหมือนกัน”
จากนั้น ได้ทรงนำเรื่องราวในอดีตชาติมาตรัสเล่าให้ฟัง
ดังต่อไปนี้
อดีตชาติเนื้อหาชาดก
อดีตกาล มีพระราชาพระนามว่า “มฆเทวะ” ในกรุงมิถิลาวิเทหรัฐ เป็นพระมหาธรรมราชาผู้ดำรงอยู่ในทศพิธราชธรรม
วันหนึ่ง พระองค์ได้ทรงตรัสสั่งกับช่างกัลบกว่า
“ถ้าท่านเห็นผมหงอกงอกขึ้นบนศีรษะของเราในกาลใด
ขอให้ท่านจงบอกแก่เราในกาลนั้น”
ต่อมา ช่างกัลบกได้พบพระเกศาหงอกเส้นหนึ่งจึงกราบทูลว่า
“ข้าแต่สมมติเทพ พระเกศาหงอกเส้นหนึ่งปรากฏแก่พระองค์แล้ว”
ช่างกัลบกได้เอาแหนบทองคำถอนพระเกศาหงอกเส้นนั้นมาประดิษฐานบนฝ่าพระหัตถ์ของพระราชา
พระราชาเมื่อทอดพระเนตรพระเกศาหงอก
ทรงทำความสำคัญประหนึ่งว่า พระยามัจจุราชมาประทับยืนอยู่ใกล้
ๆได้ทรงถึงความสังเวชดำริว่า ดูก่อนมฆเทวะผู้โง่เขลา เจ้ายังไม่สามารถละกิเลสได้แม้แต่นิดเดียวจนตราบเท่าที่ผมหงอกเกิดขึ้น
เมื่อพระองค์ทรงรำพึงถึงผมหงอกที่ปรากฏแล้ว
ความเร่าร้อนภายในก็บังเกิดขึ้น พระองค์ทรงดำริว่า เราสมควรจะต้องออกบวชในวันนี้แหละ
จึงทรงพระราชทานบ้านชั้นดีแก่ช่างกัลบกแล้วรับสั่งให้เรียกพระโอรสองค์ใหญ่มาตรัสสั่งว่า
“ลูกเอ๋ย ผมหงอกได้ปรากฏบนศีรษะของพ่อแล้ว พ่อได้กลายเป็นคนแก่ไปแล้ว
กามคุณของมนุษย์พ่อได้เสพมาหมดแล้ว บัดนี้ พ่อจักแสวงหากามที่เป็นทิพย์ ถึงเวลาที่พ่อจักต้องอำลาเจ้าออกบวชแล้ว
ขอเจ้าจงได้ครอบครองราชสมบัตินี้เถิด พ่อจักบำเพ็ญสมณธรรม ในอัมพวันอุทยานชื่อมฆเทวะ”
เหล่าอำมาตย์ทั้งหลายเข้าไปเฝ้าพระราชาแล้วกราบทูลถามว่า
“ขอเดชะ อะไรกันหนอเป็นสาเหตุแห่งการสละกามออกทรงผนวชของพระองค์
พระเจ้าข้า”
พระราชาจึงทรงถือเอาพระเกศาหงอกเส้นนั้นออกมาแสดงแล้วตรัสพระคาถานี้แก่อำมาตย์ทั้งหลายว่า
ผมที่หงอกบนศีรษะของเรานี้เกิดขึ้นมา
ได้นำเอาวัยของเราไปเสียแล้ว ตัวเทวทูต ได้มา
ปรากฏแก่เราแล้ว บัดนี้ เป็นเวลาที่ตัวเราจะต้อง
ออกทำการบรรพชาเสียที
ความหมายของคาถา
พระราชาต้องการตรัสสอนเหล่าบรรดาโอรสเป็นต้นว่า
“เธอทั้งหลายจงพิจารณาดูเถิด
ผมหงอกเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ได้ชื่อว่าพาเอาวัยหนุ่มไปแล้ว
เพราะปรากฏให้เห็นโดยภาวะแห่งผมหงอก ตัวมัจจุราชนั้นได้ชื่อว่าเทวทูต อันที่จริง เมื่อผมหงอกทั้งหลายปรากฏขึ้นบนศีรษะ
บุคคลย่อมเป็นเหมือนยืนอยู่ในสำนักของ พระยามัจจุราช
เพราะฉะนั้น
ผมหงอกทั้งหลายท่านจึงเรียกว่าเป็นทูตของมัจจุราช
ข้อนี้ก็เปรียบเหมือนกับเทวดาที่ตกแต่งร่างกายสวยงามยืนสว่างไสวในอากาศแล้วกล่าวว่า
ท่านจักต้องตายในวันนั้น วันนี้ ฉันใด เมื่อผมหงอกทั้งหลายปรากฏแล้วบนศีรษะย่อมเป็นเช่นกับเทวดาพยากรณ์ฉันนั้นเหมือนกัน”
พระเจ้ามฆเทวะสละราชสมบัติออกบวชเป็นฤาษีในวันนั้นนั่นเอง
ประทับอยู่ในมฆอัมพวัน เจริญพรหมวิหาร ๔ ดำรงอยู่ในฌานอันไม่เสื่อม
สวรรคตแล้วบังเกิดในพรหมโลก จุติจากพรหมโลกนั้น ได้เป็นพระราชานามว่าเนมิ
ในกรุงมิถิลาสืบต่อวงศ์ของพระองค์ที่เสื่อมลงจึงทรงผนวชในอัมพวันนั้นนั่นเอง
เจริญพรหมวิหารได้กลับไปเกิดในพรหมโลกตามเดิมอีก พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว
ทรงประชุมชาดกว่า
“ช่างกัลบกคือพระอานนท์ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่คือราหุล
ส่วนพระเจ้ามฆเทวะคือเราตถาคตนั่นเอง”