ชายหนุ่มช่างสลักหินผู้มีจิตใจงดงาม
ในพุทธกาลสมัยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงประทับอยู่ ณ พระเชตะวันมหาวิหารในนครสาวัตถีเผยแผ่คำสอนของพระพุทธศาสนากว้างไกลไปทั่วแคว้นพาราณสี ในกาลนั้นได้มีอุบาสิกาผู้หนึ่งมีนามว่ากาณมาตา นางเป็นอริยสาวิกาผู้บรรลุโสดาบันนางอาศัยอยู่กับลูกสาวคนหนึ่งมีชื่อวา กาณา
พระเชตะวันมหาวิหารในนครสาวัตถี
เมื่อถึงวัยอันควร กาณมาตาก็ตัดสินใจยกลูกสาวของตนให้แต่งงานกับชายผู้มีชาติตระกูลดีผู้หนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่อีกตำบลหนึ่ง “ลูกเอ้ย ไปอยู่บ้านเขา เป็นสะใภ้บ้านเขา เจ้าต้องประพฤติตัวให้ดี อย่าให้เสื่อมเสียนะ” “ลูกทราบแล้วท่านแม่ ท่านแม่อย่าห่วงเลย แล้วลูกจะแวะมาเยี่ยมท่านแม่บ่อยๆ ท่านแม่ดูแลรักษาสุขภาพให้ดีๆ นะคะ”
นางกาณาได้ออกเรือนและได้ย้ายไปอยู่อีกตำบลหนึ่ง
หลังจากที่บุตรสาวของนางออกเรือนไปแล้วก็ยังคงหมั่นมาเยี่ยมมารดาอยู่เสมอๆ เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่ กาณา กลับมาเยี่ยมมารดาของนางด้วยกิจธุระจำเป็นบางอย่าง“มาคราวนี้จะอยู่สักกี่วันล่ะลูก” “ก็สักพักน่ะจ๊ะ ท่านแม่ ลูกว่าเสร็จธุระแล้วก็จะรีบกลับ แต่จะว่าไปลูกก็อยากอยู่กับท่านแม่นานๆ นะคะ”
นางกาณมาตาอบรมบุตรสาวเรื่องการเป็นลูกสะใภ้ที่ดี
“เหอะๆๆ เด็กโง่ เจ้าน่ะโตเป็นสาวแล้วนะ แต่งงานออกเรือนไปแล้ว ยังจะมาติดแม่อยู่อีกรึ เสร็จธุระแล้วก็รีบๆ กลับไปซะเถอะ สามีเจ้าจะได้ไม่ต้องห่วง เจ้าไม่ต้องห่วงแม่หรอก แม่น่ะอยู่ได้” “ค่ะ ท่านแม่” นางกาณานั้นจากสามีมาอยู่กับแม่ได้พอสมควร สามีของนางก็รู้สึกเป็นห่วงจึงจัดให้คนตามนางกาณากลับบ้าน
นางกาณากลับบ้านมาเยี่ยมมารดาของตน
“ท่านหญิง นายท่านให้ข้ามาตามท่านกลับบ้านน่ะ เราเป็นห่วงท่านหญิงมากนะ ท่านหญิงมาหลายวันแล้ว กลับบ้านได้แล้วขอรับ” “ท่านแม่ เห็นทีลูกต้องไปแล้วสามีของลูกถึงขนาดส่งคนมาตาม เขาคงจะเป็นห่วงลูกมากๆ ถ้าอย่างนั้นลูกขอตัวก่อนนะคะ ท่านแม่” “เอาเถอะจ๊ะลูกรัก มันก็สมควรเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว
นางกาณามาพักที่บ้านเมืองของตนเป็นเวลาหลายวัน
แต่เจ้าเองก็มาตั้งหลายวัน จะกลับไปมือเปล่าก็ใช่ที ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวแม่จะทอดขนมให้เจ้านำติดมือกลับไปฝากสามีของเจ้าด้วยละกันนะ” “ค่ะ ท่านแม่ เดี๋ยวข้าจะช่วยท่านแม่อีกแรงนึง” สองแม่ลูกลงมือช่วยกันทอดขนมจำนวนมาก หวังจะให้ กาณา นำติดไม้ติดมือไปฝากที่บ้านของสามี ขนมที่ทั้งสองแม่ลูก มีมากมาย สีสันน่ารับประทาน
สามีนางกาณาส่งคนมาตามนางกลับบ้าน
“ท่านแม่ ดูสิคะ ขนมที่เราสองคนช่วยกันทำ สีสันช่างน่าอร่อยจริงๆ” “หึๆๆ เรื่องทอดขนมน่ะ แม่ไม่แพ้ใครหรอกนะ เดี๋ยวเจ้าเอาไปฝากสามีเจ้าเยอะๆ ถ้าชอบ วันหลังก็มาเอาอีก เดี๋ยวแม่จะทอดให้” “จ๊ะแม่” ความหอมของขนมที่สองแม่ลูกทำนั้น ส่งกลิ่นหอมขจรไปทั่ว ใครได้กลิ่น ต่างก็ชมและอยากทานขนมกันทั้งสิ้น
นางกาณมาตาทอดขนมให้ลูกสาวนำกลับไปฝากสามี
ในขณะนั้นเอง ก็ได้มีภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งมาบิณฑบาตที่นี่เป็นประจำได้ผ่านมาพบเข้าพอดี “อะ อ้าว หลวงพี่ท่านนี้มาพอดีเลย นิมนต์เลยเจ้าค่ะ พวกเราเพิ่งทอดขนมเสร็จ ขอใส่บาตรด้วยเลยก็แล้วกันนะเจ้าคะ” “เจริญพร นะโยม ขนมเยอะแยะไปหมดเลย นี่จะมีงานอะไรกันเนี่ย” “ดิฉัน ทอดขนมเพื่อให้ลูกสาวนำไปฝากสามีที่บ้านน่ะเจ้าค่ะ”
ในตอนเช้าเป็นเวลาที่พระภิกษุออกบิณฑบาตรโปรดญาติโยม
ด้วยความหอมของขนมที่นางทอด ทำให้ภิกษุรูปนั้น อดไม่ได้ที่จะชื่นชม และเมื่อออกจากบ้านของ นางกาณมาตาแล้ว ก็พบกับภิกษุอีกรูปหนึ่งเข้า จึงเล่าให้ฟังเรื่องขนมทอดของ นางกาณมาตา “นี่ท่าน ดูซิ ขนมมากมายเลย เราเพิ่งไปที่บ้านของโยม กาณมาตา มาน่ะ ท่านลองไปบิณฑบาตที่นั่นดูซี่ ยังมีขนมอีกมากมายเลย”
นางกาณมาตานำขนมทอดของตนใส่บาตรแด่พระภิกษุ
“จริงหรือท่าน อื้ม...กลิ่นหอมดีจริงๆ เลยเชียว เห็นทีข้าต้องไปบ้างแล้ว” ไม่เพียงแต่ภิกษุรูปนี้เท่านั้น ที่มาขอบิณฑบาตขนมทอด เพราะเมื่อภิกษุรูปที่ 2 กลับออกไป ก็ไปบอกเล่าให้ภิกษุอีกรูปหนึ่งเป็นรูปที่ 3 ที่มาขอบิณฑบาตขนม พอภิกษุรูปที่ 3_กลับออกไปก็ไปเล่าให้ภิกษุอีกรูปทราบเรื่องขนมทอดเป็นรูปที่ 4
พระภิกษุรูปที่ 1 แนะนำภิกษุรูปที่ 2 ไปรับบิณฑบาตรขนมที่บ้านนางกาณมาตา
ปรากฏว่าขนมทอดที่นางกาณมาตาทำไว้หวังให้ลูกสาวนำกลับบ้านฝากสามีก็หมดลง “ตายจริงท่านแม่ ขนมที่เราทอดไว้หมดซะแล้ว” “ไม่เป็นไรจ๊ะ ลูกรัก เอาไว้พรุ่งนี้แม่ค่อยทอดให้ใหม่ วันนี้เหนื่อยเหลือเกิน แม่ขอพักก่อนนะจ๊ะ เจ้าก็ค่อยกลับไปบ้านสามีเจ้า พรุ่งนี้ก็แล้วกัน รอให้แม่ทอดขนมเสร็จก่อนแล้วกันล่ะ”
พระภิกษุรูปที่ 2 แนะนำภิกษุรูปที่ 3 มารับบิณฑบาตรขนมที่บ้านนางกาณมาตา
“ค่ะ ท่านแม่ ลูกเองก็เหนื่อยเหมือนกัน เราพักกันก่อนนะคะ” แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นไปดั่งที่คิด เหตุเพราะต่อให้สองแม่ลูกช่วยกันทอดขนมจนเสร็จพร้อมจะนำกลับบ้านแล้วเมื่อไหร่ ภิกษุทั้ง 4_ที่มาขอบิณฑบาตขนมไปเมื่อวันก่อน ก็จะย้อนกลับมาบิณฑบาตอีกครั้ง ซึ่งพวกนางก็ไม่อาจจะปฏิเสธการทำบุญสุนทานได้
พระภิกษุรูปที่ 3 แนะนำภิกษุรูปที่ 4 มารับบิณฑบาตรขนมที่บ้านนางกาณมาตา
“นิมนต์ค่ะ หลวงพี่ วันนี้ขนมมีมากมายค่ะ” “อึ้ม...ขนมที่โยมทอดเนี่ย อร่อยจริงๆ นะ วันนี้ก็ทอดขนมให้ลูกสาวนำไปฝากสามีอีกเช่นเคยรึ” “ใช่ค่ะ หลวงพี่ แต่ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะคะ ขนมยังมีอีกเยอะแยะ ถึงหมดก็ทำใหม่ได้เจ้าค่ะ” แล้วทุกอย่างก็เหมือนเดิม ขนมที่สองแม่ลูกทอดไว้หมดเกลี้ยงลงอย่างรวดเร็ว
ขนมทอดของนางกาณมาตาหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือไว้ให้ลูกสาวของตน
ด้วยเหตุนี้ กาณา ก็ยังมิอาจกลับไปบ้านหาสามีด้วยไม่มีของฝากติดมืออีกเช่นเคย “ท่านแม่ ขนมหมดอย่างเนี้ย แล้วลูกจะเอาอะไรไปฝากสามีลูกล่ะคะ” “ช่วยไม่ได้จ๊ะ งั้นพรุ่งนี้เราทอดกันใหม่ก็ได้ เลื่อนไปอีกครั้งคงไม่เป็นไรหรอกนะ” “ท่านหญิง นี่ตกลงแล้ววันนี้ท่านก็ยังกลับไม่ได้อีกหรือเนี่ย นี่เป็นครั้งที่ 2 แล้วนะที่ท่านเลื่อนไปเลื่อนมาอย่างเนี้ย ข้าเกรงว่านายท่านจะโกรธเอาได้นะขอรับ”
เป็นครั้งที่ 3 ที่สามีของนางกาณาส่งคนมาตามนางกลับบ้าน
“งั้นเราฝากเจ้าวานไปบอกสามีเราที ว่าพรุ่งนี้เราจะเดินทางกลับแน่นอน วันเนี้ยเจ้ากลับไปก่อนเถอะนะ” “เอางั้นก็ได้ งั้นข้าไปล่ะ” วันรุ่งขึ้น สองแม่ลูกตื่นนอนแต่เช้าเพื่อจะรีบช่วยกันทอดขนมอีกเป็นวันที่ 3 โดยวันนี้ผู้ที่สามีของ นางกาณา ส่งให้มาตาม ก็มาตามนางกลับแต่เช้า “ท่านหญิง นายท่านสั่งข้ามาว่า ถ้าวันนี้ท่านหญิงยังไม่ยอมกลับบ้านอีกเป็นครั้งที่ 3
วันเวลาผ่านไปนางกาณาไม่ได้กลับบ้านตามที่ตกลงกับสามีไว้
นายท่านจะไปมีภรรยาใหม่แล้วนะขอรับ” “จ๊ะๆๆๆ วันนี้แหละ เราจะกลับแน่ๆ รอเราทอดขนมเสร็จก่อนนะ” “ไม่ต้องห่วงจ๊ะ ลูกรัก เจ้าได้กลับแน่ๆ เดี๋ยวแม่จะทอดขนมให้เยอะกว่าเมื่อวานนะจ๊ะ คราวเนี้ย เจ้าเหลือกลับไปฝากสามีเจ้าแน่ๆ ลูกเอ้ย” “ขอบคุณท่านแม่มากค่ะ” แต่เหตุการณ์ไม่เป็นไปอย่างที่คิด ทันทีที่สองแม่ลูกทอดขนมเสร็จ ภิกษุทั้ง 4 รูปก็มาบิณฑบาตจนขนมที่ทอดไว้หมดลงอย่างรวดเร็ว
นางกาณาเสียใจมากเมื่อทราบว่าสามีของตนมีภรรยาใหม่
เป็นอันว่า นางกาณา ก็มิสามารถที่จะกลับบ้านสามีได้อีกเช่นเคยเป็นครั้งที่ 3 “แย่แล้วท่านแม่ ขนมที่เราทอดไว้หมดลงอีกแล้ว แล้วทีนี้ลูกจะเอาอะไรไปฝากสามีลูกได้ล่ะคะ” “ทำใจดีๆ ไว้ลูกรัก แม่ว่าสามีของเจ้า คงไม่ใจร้ายมีภรรยาใหม่ จริงๆ หรอกจะ” “ตกลงวันนี้ท่านก็กลับไม่ได้อีกแล้วใช่มั้ยเนี่ย งั้นข้าขอกลับก่อนนะ ข้าเตือนท่านแล้วนะ นายหญิง ว่านายท่านจะมีภรรยาใหม่จริงๆ นะขอรับ ข้าไปก่อนล่ะ” เป็นจริงดังที่คนมาตามได้บอกไว้ หลังจากนั้นไม่นานก็มีข่าวว่า สามีของนางได้ไปมีภรรยาใหม่จริงๆ
สองแม่ลูกได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์ซึ่งท่านเสด็จมายังบ้านของตน
เหตุทั้งหมดเพียงเพราะนาง ไม่มีขนมทอดติดมือไปฝากจึงยังมิอาจกลับบ้านสามีได้ ทำให้นางถูกสามีทิ้ง “ฮือๆๆ โชคร้ายแต่ปางหนใด เหตุไฉนลูกถึงต้องถูกทิ้งเพราะเพียงเรื่องแค่นี้ เราไม่น่าใส่บาตรขนมจนหมดเลยท่านแม่ ฮือๆๆๆ” “ทำอย่างไรได้เล่า ลูกเอ้ย พระคุณเจ้าท่านแวะมาบิณฑบาตทั้งที เราจะทำเพิกเฉยได้อย่างไร อย่าร้องไห้ไปเลยลูกรัก” “ท่านแม่ ฮือๆๆๆ” ข่าวการเสียใจ เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ของ นางกาณานั้น แพร่สะพัดไปทั่ว
พระพุทธองค์ทรงตรัสถามถึงเรื่องที่ชาวเมืองได้ร่ำลือกันไปทั่วทั้งเมือง
องค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อทราบเรื่องก็ทรงครองผ้าถือบาตรจีวรเสด็จไปยังวิเวกของ กาณมาตา เพื่อหวังจะถามไถ่ “โอ้ องค์พระศาสดาเสด็จมาถึงบ้านดิฉันเลยรึคะ นิมนต์บนอาสนะเลยเจ้าค่ะ นิมนต์เลยเจ้าค่ะ” เมื่อองค์พระศาสดาประทับนั่งเหนืออาสนะที่จัดถวายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ตรัสถาม นางกาณมาตา ด้วยความห่วงใยเกี่ยวกับเรื่องของบุตรสาว “เราทราบมาว่า ลูกสาวของท่านเอาแต่ร้องห่มร้องไห้ ไม่ทราบว่าด้วยเหตุอันใดฤา” “เอ่อ..คือๆ เรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ พระคุณเจ้า”
นางกาณมาตาทรงกราบทูลเล่าเรื่องราวที่เกิดกับลูกสาวต่อพระพุทธองค์
ดังนั้นนางกาณมาตา จึงเล่าเรื่องที่นางและลูกช่วยกันทอดขนมหวังจะให้บุตรสาวนำกลับไปฝากที่บ้านสามี แต่กลับต้องมาใส่บาตรให้ภิกษุทั้ง 4_รูป ที่มาบิณฑบาตทุกวันจนขนมที่ทอดไว้หมดสิ้น ไม่สามารถกลับบ้านสามีได้ เป็นเหตุให้สามีของบุตรนางไปมีภรรยาใหม่ “เรื่องมันเป็นอย่างนี้เองหรอกหรือ โยมทั้งสองอย่าเสียใจไปเลย ทำใจดีๆ นะ” “ขอบพระคุณ พระคุณท่านมากค่ะที่ปลอบโยนพวกเรา พวกเราเนี่ย ซาบซึ้งใจยิ่งนัก”
บรรดาภิกษุต่างจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เรื่องของนางกาณา
หลังจากถามไถ่และปลอบโยนสองแม่ลูกจนคลายทุกข์ องค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เสด็จกลับพระเชตวันมหาวิหาร วันต่อมา เหตุการณ์ที่ นางกาณาต้องถูกสามีทิ้งเพราะไม่มีขนมติดมือไปให้สามีเนื่องจากถูกภิกษุ 4 รูปมาบิณฑบาตไปหมดสิ้นก็เป็นที่โจษจันไปทั่วทั้งธรรมสภา ภิกษุต่างจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อย่างสนใจใคร่รู้ “อื้ม....น่าเห็นใจ นางกาณา ยิ่งนักที่ต้องมาถูกสามีทอดทิ้งด้วยเรื่องเพียงแค่นี้” “เฮ้อ...ไม่รู้จะโทษใครดีเหมือนกัน เรื่องแบบนี้”
พระบรมศาสดาทรงตรัสเล่าชาดกครั้งในอดีตกาลแก่ภิกษุทั้งหลายยังธรรมสภา
เมื่อองค์พระศาสดาเสด็จมายังธรรมสภา เห็นภิกษุจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่ ก็ทรงตรัสถามถึงเรื่องที่เหล่าภิกษุกำลังสนทนากัน “ภิกษุเอ๋ย นี่พวกเธอกำลังสนทนาประชุมกันเรื่องอะไรหรือ?” “ก็เรื่องที่ นางกาณา โดนสามีทอดทิ้งเพราะใส่บาตรขนมทอดให้แก่ภิกษุทั้ง 4_จนขนมหมด เป็นเหตุให้กลับบ้านไม่ได้ซักทีน่ะขอรับ” “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่เพียงบัดนี้เท่านั้น ที่ภิกษุทั้ง 4_เหล่านั้นกินของ ของนางกาณา แล้วทำความโทมนัสให้เกิดแก่นาง แม้ในครั้งก่อนก็เคยทำให้นางเกิดโทมนัสมาแล้ว” จากนั้นจึงทรงระลึกชาติด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ ย้อนไปในอดีตชาติ ตรัสเล่าชาดกเรื่อง พัพพุชาดกไว้ดังนี้
พัพพุชาดก ชาดก ว่าด้วยวิธีให้แมวตาย
ช่างสลักหินผู้ได้ทรัพย์สมบัติเพราะคุณความดีที่ได้กระทำ
ย้อนไปในอดีตกาลในยุคสมัยที่พระเจ้าพรหมทัตเสวยพระราชสมบัติปกครองแคว้นพาราณสีอยู่นั้น พระโพธิสัตว์ในยุคนั้นได้บังเกิดเป็นช่างสลักหิน ในเวลานั้นช่างสลักหินผู้นี้ได้เติบโตเจริญวัยเป็นหนุ่มศึกษาวิชาศิลปะจนสำเร็จแล้ว “อื้ม..เอาล่ะ เราแกะสลักหินก้อนนี้เสร็จทันเวลาจนได้ แหม..งานนี้ยากเอาการ เล่นเอาเหนื่อยเลยแฮะ”
ฝีมือของช่างสลักหินมีความละเอียดและปราณีตยิ่ง
“โอ้โห! นายท่าน ฝีมือท่านเนี่ย นับวันยิ่งเยี่ยมนะ สุดยอดจริงๆ” ถัดไปยังนิคมแห่งหนึ่ง ณ แคว้นกาสี มีเศรษฐีอยู่ผู้หนึ่ง ซึ่งมีทรัพย์สินมากมายก่ายกอง เขาได้นำทรัพย์สมบัติของเขาทั้งหมดฝังไว้ใต้ดินถึง 40_โกฏิ “สมบัติเรามีมากขนาดนี้ เก็บไว้กับตัวจะเป็นอันตรายได้ ฝังไว้ใต้ดินดีกว่า ปลอดภัยไม่ต้องกลัวโจร”
เศรษฐีสามีภรรยาซึ่งมีทรัพย์สินมากมายและได้นำทรัพย์ทั้งหมดฝังไว้ใต้ดินถึง 40 โกฏิ
“อื้ม..ดีเหมือนกันท่านพี่ ทรัพย์สมบัติของเรามันเยอะซะจนไม่มีที่จะเก็บแล้วเนี่ย เอาไว้ที่บ้านก็ล่อตาล่อใจโจรเปล่าๆ” อยู่มาวันหนึ่งเรื่องเศร้าก็บังเกิด เมื่อภรรยาของเศรษฐีได้ด่วนตายจากไป “โอ้ น้องพี่ เจ้าไม่น่ารีบมาด่วนตายจากข้าไปเลย เฮ้ย...ทรัพย์สินเรามีตั้งมากมาย แต่คนรักเรากลับมาตายจากไปอย่างงี้ มันช่างน่าเศร้านัก”
ท่านเศรษฐีเสียใจยิ่งนักที่ภรรยามาด่วนจากไป
แต่ด้วยความห่วงใยในทรัพย์สิน ภรรยาของเศรษฐีเมื่อตายจากไปแล้วก็ได้ไปเกิดเป็นหนู กลับมาเฝ้ากองทรัพย์สินที่สามีตนได้ฝังเอาไว้อย่างมากมาย “ชาติที่แล้ว เรากับสามีฝังทรัพย์สินไว้มากมาย อีกไม่นานสามีเราก็คงต้องตายจาก แล้วใครจะดูแลทรัพย์สินเหล่านี้เล่า? เรานี่แหละที่จะขอดูแลทรัพย์สินเหล่านี้เอง”
บ้านเศรษฐีถูกปล่อยรกร้างเพราะขาดผู้สืบสกุล
หลังจากนั้นอีกไม่นาน เศรษฐีก็ตายจากไปอีกเช่นกัน โดยที่ซึ่งไร้ทายาท ตระกูลนี้จึงขาดผู้สืบตระกูล บ้านของเศรษฐีก็ถูกปล่อยรกร้าง กลายเป็นบ้านร้างไปในที่สุด โดยไม่มีใครล่วงรู้ว่า ใต้ผืนบ้านนี้มีกองสมบัติถูกฝังอยู่มากมาย ช่างสลักหินเมื่อผ่านมาพบบ้านร้างหลังนี้เข้าก็เกิดถูกชะตา ประสงค์จะนำหินที่อยู่ในบ้านร้างนั้นมาทำการแกะสลักเป็นงานศิลปะตามความชอบ
ภรรยาของเศรษฐีได้เกิดมาเป็นหนูเฝ้าสมบัติในบ้านของตน
“อื้ม...บ้านร้างหลังเนี้ย ใหญ่โตโอ่โถงยิ่งนัก ไม่รู้เป็นบ้านของใครมาก่อน หินต่างๆ ที่อยู่ในบ้านน่ะ ปล่อยไว้ก็รกร้างซะเปล่า ไม่มีประโยชน์ เรานำหินจากบ้านร้างหลังเนี้ย มาแกะสลักงานของเราน่าจะดีแฮะ” ฝ่ายนางหนูที่เฝ้ากองสมบัติอยู่นั้น เห็นความเคลื่อนไหวของช่างสลักหินอยู่ตลอด ด้วยความที่ช่างสลักหินดูเป็นคนมีจิตใจงดงาม
นายช่างถูกใจหินในบ้านร้างของท่านเศรษฐี
นางหนูจึงรู้สึกถูกชะตากับช่างสลักหินยิ่งนัก “อื้ม...พ่อหนุ่มคนนี้ดูไม่มีพิษ ไม่มีภัยดีแฮะ ท่าทางจะเป็นคนดี ช่างถูกใจเราซะแล้วสิ” นางหนูนั้นคิดว่า ทรัพย์สมบัติมากมายที่ตนเฝ้าอยู่นั้น หากปล่อยทิ้งไว้ก็คงจะเปล่าประโยชน์เป็นแน่แท้ หากนางนำทรัพย์นี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์น่าจะดีซะกว่า “เอ..จะว่าไป เราจะเฝ้าทรัพย์พวกนี้ทำไม เอามาทำอะไรก็ไม่ได้
การกระทำทุกอย่างของนายช่างอยู่ในสายตาของนางหนู
สู้หาทางใช้ทรัพย์นี้กับพ่อหนุ่มแกะสลักนั่นยังจะดีซะกว่า เอาล่ะ เอาตามนี้ดีกว่า” เมื่อคิดได้ดังนั้น นางหนูจึงตัดสินใจที่จะวางแผนการใช้เงินเหล่านี้ร่วมกับช่างสลักหิน นางทำการคาบเหรียญกษาปณ์จากกองสมบัติมาหนึ่งเหรียญ แล้ววิ่งไปที่ร้านของช่างสลักหิน “โอ้ อัศจรรย์นัก หนูคาบเหรียญกษาปณ์ เหอะๆๆๆ เป็นไปได้เยี่ยงไรเนี่ย
นางหนูได้คาบเหรียญกษาปณ์มาให้นายช่าง
แม่หนู่เอ๋ย นี่เจ้าคาบเหรียญกษาปณ์มาทำไมรึ?” “คืออย่างงี้ ท่านช่างสลักหิน เรานำทรัพย์นี้ก็หวังจะมาแบ่งให้ท่านใช้ เพียงแต่ท่านนำทรัพย์นี้ไปแบ่งซื้อเนื้อมาฝากเราที่บ้านร้างบ้างก็พอแล้ว แล้วเราจะนำทรัพย์มาให้ท่านได้ซื้อทุกวันนะ” “โห เจ้าหนูเอ๋ย ที่แท้ก็เป็นเยี่ยงนี้นี่เอง ได้ซี่..เราจะไปซื้อเนื้อมาให้เจ้า เจ้าจะได้กินอิ่มหนำสำราญน่ะ
นางหนูได้บอกนายช่างถึงเหตุที่ตนนำเหรียญกษาปณ์มาให้
ส่วนเงินส่วนที่เหลือเราก็ขอรับไว้ตามความปรารถนาของเจ้าก็แล้วกัน ขอบใจเจ้ามากนะ แม่หนูเอ๋ย” ช่างสลักหินทำตามที่ให้วาจาไว้กับหนูทุกประการ เขานำเหรียญกษาปณ์นั้นไปแลกซื้อเนื้อจากในพระนครมาส่วนหนึ่งเพื่อนำไปฝากหนู และเก็บไว้ใช้เองอีกส่วนหนึ่ง เมื่อได้เนื้อมาแล้ว เขาก็จะนำไปให้หนูที่บ้านร้างกินทุกครั้งและวันต่อไปหนูก็จะคาบเหรียญมาให้ช่างสลักหินและก็นำไปซื้อเนื้อมาฝากหนูอีก เป็นเช่นนี้อยู่เรื่อยมา
ช่างสลักหินซื้อเนื้อมาฝากนางหนูตามที่ได้ตกลงกันไว้
“เอ้า...กินให้อิ่มๆ นะ แม่หนู เจ้าน่ะคงหิวมากล่ะซี่” “อื้ม...อร่อยจริงๆ นี่ท่านซื้อเนื้อชั้นดีขนาดนี้มาฝากเราเชียวหรือเนี่ย” อยู่มาวันหนึ่งได้มีแมวเกเรตัวหนึ่ง หลงเข้ามาในบ้านร้าง เจ้าแมวเห็นนางหนูที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในบ้าน ก็วิ่งไล่จับตามวิสัยของแมวที่ชอบจับหนู “โอะๆ โอ้ย เจอของดีเข้าแล้ว ฮี่ๆๆๆ เจ้าหนูเอ๋ย แกเสร็จข้าแน่ เรื่องรังแกสัตว์ตัวเล็ก เราน่ะชอบจริงๆ ฮี่ๆๆ ฮิ้ว!
แมวเกเรตัวหนึ่งหลงเข้ามาในบริเวณบ้านร้าง
“อุ๊ย งานเข้าแล้วล่ะสิ เผ่นดีกว่าเรา” หลังจากไล่จับกันอยู่นาน ในที่สุดนางหนูก็ถูกเจ้าแมวเกเรจับเข้าจนได้ นางพยายามดิ้นรนร้องขอชีวิตกับเจ้าแมวเกเร “โอ้ย พี่แมว เราเจ็บนะ ปล่อยเราซะเถอะอย่ากินเราเลย” “ปล่อยให้โง่หรอ นี่ข้าไม่ได้เล่นไล่จับนะ ข้าจะจับเจ้ากินนะเฟ้ย เรื่องอะไรจะปล่อยให้โง่ ข้าหิวจะแย่อยู่แล้วเนี่ย ข้าจะกินเนื้อเจ้าซะตอนนี้แหละ อย่ามาร้องขอชีวิตซะให้ยาก”
แมวเกเรจับนางหนูได้
“โธ่ พี่แมว ฟังขอเสนอของเราก่อนสิ หากท่านกินเราซะตอนนี้ ท่านก็จะอิ่มอยู่แค่มื้อนี้นั่นแหละ แล้วมื้อต่อไปท่านจะเอาเนื้อที่ไหนกินเล่า สู้ปล่อยเราไว้ให้เรานำเนื้อมาแบ่งให้พี่แมวกินทุกวันไม่ดีกว่ารึ ลองคิดดูดีๆ หน่า” “เพ้อเจ้อ เจ้าจะหาเนื้อมาให้เรากินได้ไงทุกวัน” “โธ่ เชื่อเราสิ เรามีเนื้อก้อนเบ้อเริ่มเลย กินคนเดียวไม่หมดหรอก ท่านสนใจมั้ย เราจะแบ่งให้ท่าน
นางหนูนำเนื้อมาให้แมวเกเรตามที่สัญญาไว้
เราสามารถนำมาให้ท่านกินได้ทุกวันเลยนะ ถ้าไม่เชื่อก็ตามมาสิ เราจะพาไปดู” “อื้อ ก็ได้ อย่าตุกติกนะเฟ้ย ไม่งั้นพ่อเจี๋ยนแน่” ในที่สุด เจ้าแมวเกเรก็เชื่อ แล้วยอมตามนางหนูมาดูเนื้อที่นางหนูสัญญาว่าจะแบ่งให้ “นี่ไง ท่านเห็นมั้ย เรามีเนื้อจริงๆ นะ หากท่านไว้ชีวิตเรา เราจะแบ่งเนื้อให้ท่านกินทุกวันเลยนะ” “โอเค ได้เลย ตกลงตามนั้น หือ นี่เราโชคดีจริงๆ นะ
นางหนูได้ตกลงจะแบ่งเนื้อให้แมวเกเรตัวที่ 2
ไม่ต้องอยู่อย่างอดอยากอีกต่อไปแล้ว ฮี่ๆๆ ฮิ้ว โชคดีแมว” อยู่มาวันหนึ่ง นางหนูก็ถูกแมวตัวอื่นจับไว้ได้อีก ด้วยความที่ต้องการจะเอาตัวรอด นางหนูจำต้องใช้วิธีเดิมต่อรองขอชีวิตกับแมวตัวนั้นอีกครั้ง “หง่าว อะไรนะ เจ้าบอกข้าว่า เจ้ามีเนื้อแบ่งมาให้ข้าทุกวันน่ะรึ อย่าขี้โม้นะเฟ้ย ยิ่งเชื่อคนง่ายๆ อยู่ด้วย หง่าว” “จริงสิ ไม่เชื่อก็ตามมาดูที่รังของเราเลย
นางหนูมารับเนื้อจากช่างสลักหินตามปกติ
ด้วยเหตุนี้เนื้อที่ช่างสลักหินนำมาให้จากเดิมที่ต้องแบ่งออกเป็น 2 ส่วนเพื่อแบ่งให้กับแมวเกเรตัวแรกกลับกลายต้องมาแบ่งเป็น 3_“หง่าว ขอโทษนะพี่ชาย ขอแจมด้วยคนนะ นางหนูนั่นมันสัญญาว่าจะแบ่งให้เราเหมือนกันหน๊า หง่าว” “เอาเลยๆ ไม่ต้องเกรงใจ คิดซะว่าอยู่บ้านตัวเองนะ ฮี่ๆๆ ฮุ่ย เหมี้ยว” “โอ้ย คิดมาตลอด ไม่เคยเกรงใจอยู่แล้ว ฮ่าๆๆๆ เหงี้ยว”
นางหนูต้องแบ่งเนื้อให้แมวทั้ง 4 ตัวตามที่ตกลงกันไว้
“เฮ้อ ซวยจริงๆ เลยเรา” ไม่เพียงเท่านั้น หลังจากนั้นไม่นาน นางหนูก็ถูกแมวตัวอื่นจับได้อีก ก็ต้องใช้วิธีเดิมกันอีก แล้วก็ถูกแมวตัวอื่นจับได้อีก จึงต้องใช้วิธีเดียวกันนี้อีกเช่นกัน สรุปแล้วนางหนูถูกแมว 4 ตัวจับได้ ก็ต้องแบ่งเนื้อเป็น 4 ส่วนให้แมวทั้ง 4 ตัวและเลยอีกส่วนหนึ่งให้ตนเองกิน “เหลืออยู่จึ๊งเดียว ซวยจริงๆ เรา”
ช่างสลักหินได้สังเกตเห็นว่านางหนูซูบผอมลงไปกว่าเดิม
อยู่มาวันหนึ่ง ช่างสลักหินก็สังเกตเห็นว่า นางหนูดูซูบผอมลงไปจากเดิมเยอะ ด้วยความเป็นห่วง ช่างสลักหินจึงเอ่ยถามนางหนูว่า “แม่หนูเอ๋ย เหตุไฉนเจ้าจึงดูซูบไปเช่นนี้ล่ะ ไม่สบายรึ?” “เอ่อ คือ คือว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้น่ะ ช่างสลักหินจ๋า” นางหนูตัดสินใจเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับช่างสลักหินฟังจนหมดสิ้น “โห ที่แท้เรื่องก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ไยเจ้าถึงไม่รีบบอกเราเล่า
ช่างสลักหินได้ทำผลึกแก้วครอบที่ปากถ้ำที่อาศัยของนางหนู
ไม่ต้องห่วงนะแม่หนู เดี๋ยวเราจะหาทางช่วยเจ้าเอง” “ขอบคุณท่านมากนะ ท่านช่างเป็นคนดีจริงๆ” ช่างสลักหินใช้วิชาแกะสลักที่ตนมี จัดการแกะสลักแก้วผลึกใสให้นางหนู เพื่อนำไปครอบที่ปากถ้ำของนางหนู ซึ่งหากดูเผินๆ แล้ว จะดูราวกับว่า ไม่มีสิ่งใดปกปิดปากถ้ำอยู่ ด้วยความใสของแก้วผลึกใสนั่นเอง “เอาล่ะ แม่หนูเอ๋ย เราจะครอบผลึกแก้วใสนี้นะ
แมวเกเรตัวที่ 1 มาทวงเนื้อจากนางหนู
แล้วเจ้าน่ะก็นอนอยู่ในถ้ำตามปกติ เมื่อใดก็ตามที่พวกแมวเหล่านั้นมาระรานเจ้าอีก เจ้าก็ตวาดด่ามันไปด้วยถ้อยคำหยาบคาย ไม่ต้องไปกลัวนะ” “มันจะดีหรือจ๊ะท่าน ทำอย่างเนี่ย พวกแมวนั่น ไม่โกรธเราแย่รึ” “ไม่เป็นไรน่า เจ้าทำตามที่เราบอกเถิด แม่หนูเอ๋ย” จากนั้น นางหนูก็เข้านอนในถ้ำ โดยที่ปากถ้ำมีผลึกแก้วใสปิดครอบอยู่
นางหนูไม่ยอมมอบเนื้อให้และตะโกนด่าเจ้าแมวตามแผนของนายช่าง
จนกลางดึก เจ้าแมวเกเรตัวแรกก็มาที่ปากถ้ำและร้องเรียกให้นางหนูนำเนื้อมาให้มันกินเฉกเช่นทุกวัน “เฮ้ย เจ้าหนู ข้ามาแล้ว ตื่นเดี๋ยวนี้ ไปนำเนื้อมาให้ข้ากินเร็วๆ เข้า ข้าหิวไส้จะขาดอยู่แล้ว รีบๆ ตื่น เร็วๆ สิ” “มาอีกแล้วเจ้าแมวเกเรนี่ เราต้องทำตามที่ช่างสลักหินบอกสินะ” แต่หนนี้นางหนูไม่ยอมมอบเนื้อให้เจ้าแมวเหมือนเช่นทุกที
เจ้าแมวพุ่งตัวหมายขย้ำนางหนูแต่ชนผลึกแก้วเข้าอย่างเต็มแรง
นางตัดสินใจรวบรวมความกล้าที่มี แล้วตะโกนด่าใส่แมวสุดชีวิตเหมือนที่ช่างสลักหินได้กำชับไว้ “ไอ้แมวชั่ว เรื่องอะไรข้าจะต้องเอาเนื้อไปให้เอ็งกินด้วยวะ เอ็งไม่มีปัญญาไปหามากินเองรึไง ถึงต้องมาแย่งของข้ากินอย่างนี้ ถ้าหิวมากนัก เอ็งก็ไปกินเนื้อลูกตัวเองสิวะ” เจ้าแมวเกเร ตกตะลึงพรึงเพริดคิดไม่ถึงว่า แม่หนูจะอาจหาญมาด่าตนได้ถึงเพียงนี้ เจ้าแมวยืนโกรธจนตัวสั่น
แมวเกเรทั้ง 3 ตัววิ่งชนผลึกแก้วอย่างแรงและสิ้นใจในทันที
“หนอย ปากดีนะ นางหนูบ้า ข้ายิ่งหิวๆ อยู่ ปากดีอย่างเนี้ย ข้าจะจับเจ้ากิน เคี้ยวให้แหลกเลย ตายซะเถอะนางหนู” ด้วยความโกรธสุดขีด เจ้าแมวจึงพุ่งเข้าใส่นางหนูที่อยู่ในถ้ำ หมายจะขย้ำให้สุดชีวิต โดยหารู้ไม่ว่า หายนะกำลังจะเข้ามาใกล้อยู่ “แก ตายซะเถอะ เจ้าหนูปากเสีย เฮอะ ฮ่าๆๆๆ” ทุกอย่างเป็นไปตามแผน เจ้าแมวเกเรวิ่งเข้าชนกับผลึกแก้วใสที่ครอบปากถ้ำอยู่เข้าอย่างจัง
นางหนูมอบทรัพย์สมบัติที่ตนเฝ้าอยู่ทั้งหมดให้แก่ช่างสลักหิน
ด้วยความแรง ทำให้มันหัวใจแตก ตาถล่นออกนอกเบ้า ตายทันทีอย่างน่าอนาถ และด้วยแผนอันแยบยลของช่างสลักหินนั่นเองในที่สุดเจ้าแมวเกเรก็ตายลงจนได้“เฮ้ย ทำสำเร็จจริงๆ ด้วย ต่อไปเนี้ย เราก็ไม่ต้องไปกลัวเจ้าแมว 3 ตัวที่เหลืออีกแล้ว” หลังจากนั้นไม่นาน เจ้าแมวเกเรอีก 3 ตัวที่เหลือก็ทยอยตายกันไปทีละตัว ด้วยแผนการเดียวกันนี้เอง และนับแต่นั่นมา นางหนูก็อยู่อย่างปลอดภัย ไม่มีแมวตัวใดมาระรานอีกเลย
“ต้องขอบคุณช่างสลักหินผู้นั้นจริงๆ เลย ต่อไปนี้ เราจะได้ไม่ต้องอยู่อย่างอดอยากอีกต่อไปแล้ว” นับแต่นั้นมา นางหนูก็อยู่อย่างปลอดภัย และเพื่อเป็นการตอบแทนที่ช่างสลักหินได้ช่วยตนไว้ นางหนูจึงนำเหรียญกษาปณ์มามอบให้กับช่างสลักหินทุกวัน วันละ 2-3 เหรียญ ทั้งสองมีไมตรีให้กันและกันอย่างมีความสุข
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงตรัสประชุมชาดก
ต่อมานางหนูก็มอบทรัพย์สมบัติที่ตนเฝ้าอยู่ทั้งหมดให้แก่ช่างสลักหิน และนับจากนั้นทั้งคู่ก็รักษาไมตรีที่มีให้กัน จนแก่เฒ่าสิ้นอายุขัยไปทั้งคู่ เมื่อนำพระธรรมเทศนาเรื่องนี้มาตรัสเล่าจนจบแล้ว องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงประชุมชาดกว่า
“แมวตัวที่ 1 ได้หนู หรือเนื้อ ในที่ใด แมวตัวที่ 2 ก็เกิดในที่นั้นได้ ตัวที่ 3 ที่ 4 ก็เกิดตามๆ กันมาทำนองนั้น ด้วยอาการอย่างนี้ แมวเหล่านั้นในครั้งนั้นจึงรวมเป็น 4_ตัว ก็แลรวมกันแล้ว ก็กินเนื้อทุกวัน แมวเหล่านั้นเอาอกกระแทกถ้ำด้วยแก้วผลึกนี้ ถึงความสิ้นชีวิตไปหมดแล้ว
แมวทั้ง 4 ในครั้งนั้นได้มาเป็นภิกษุทั้ง 4
นางหนู ได้มาเป็น มารดานางกาณา
ส่วนช่างสลักหิน ได้มาเป็นเรา ตถาคต ฉะนี้แล”
credit : http://dmc.tv/a11210