"เป็นเรื่องของความมีน้ำใจช่วยเหลือซึ่งกันและกันในยามตกทุกข์ได้ยาก ความสมัคสมานสามัคคี สามารถทำให้เรื่องร้ายๆ ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี"
กวางและนกวางแผนล่อนายพรานให้เข้าไปในป่าลึกเพราะพวกตนจะได้ย้อนกลับมาช่วยเต่าได้
ครั้งเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปักธงชัยพระศาสนาลงในมคธรัฐแล้ว พุทธรรมอันบรรลือก็ขจรขจายไปทั่วแว่นแคว้น นักบวชต่างลัทธิและมหาชนแห่งอารยประเทศในชมพูทวีปต่างเลื่อมใสและประจักษ์ในความจริงแห่งอริยสัจนี้กันถ้วนหน้า พระพุทธศาสนาในมคธรัฐ
แคว้นมคธรัฐดินแดนแห่งพุทธธรรมดินแดนแห่งพุทธศาสนาที่เลื่องลือในชมพูทวีป
เวลานั้นหยั่งรากแก้วลงลึกและแข็งแรงยิ่งนัก จนกระทั่งเกิดรัฐประหารผลัดแผ่นดินใหม่เป็นราชาอชาตศัตรูศาสนจักรของพระพุทธองค์ก็ถูกแบ่งส่วนไปก่อตัวใหม่โดยการสนับสนุนของพระเจ้ามคธพระองค์นี้ อารามพุทธนิกายใหม่ถูกสร้างขึ้นที่คยาสีสะและบริหารโดยพระเทวทัต
เกิดรัฐประหารผลัดเปลี่ยนพระเจ้าแผ่นดินมาปกครองโดยพระเจ้าอชาตศัตรู
ผู้ยุยงพระเจ้าอชาตศัตรูให้ปลงพระชนม์พระราชบิดา พระเทวทัตนี้เองก็กระทำพุทธประหารท้าทายนรกไว้เช่นเดียวกัน “คนอย่างเรา ไม่เคยกลัวอะไรอยู่แล้ว เอาช้างตกมันไปปลงพระชนม์ก็เคยมาแล้ว เอาพลแม่ธนูไปยิงก็ทำมาแล้ว หึๆๆๆๆ งานแค่เนี่ยกล้วยๆ ฮึ ฮ้าๆๆๆ”
พระเจ้ามคธรัฐผู้สนับสนุนการสร้างอารามพุทธนิกายที่บริหารโดยพระเทวทัต
พระเทวทัตเคยแม้แต่ผลักก้อนศิลาใหญ่ให้กลิ้งลงทับพระพุทธเจ้า ความน่ากลัวชั่วร้ายของเขาเป็นที่กล่าวขานจนเกิดความโกรธแค้นขึ้นในหมู่คฤหัสถ์อุบาสกอุบาสิกา “ฮึบ โอ้ หนักจัง กลิ้งดีๆ นะลูกพ่อ เอาให้โดนจังเลยนะ” ในหมู่สงฆ์ด้วยกันเองพระเทวทัตก็กลายเป็นสัญลักษณ์อันน่าเกลียดน่ากลัว
พระเทวทัตผู้ชั่วร้ายได้กระทำการพุทธประหารต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งไม่เคยสำเร็จเลย
พระเทวทัต "ผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งความชั่วร้าย ผู้ที่กระทำการพุทธประหารพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยที่ไม่เกรงนรกเอเวจี ไม่เคยสำนึกในการกระทำที่ชั่วช้า มองไม่เห็นโทษและภัยที่จะเกิดขึ้น"
เป็นต้นต่อของการวิพากษ์และสนทนากันทุกการประชุมสงฆ์ “หึๆๆๆ อะไรที่เป็นความชั่วร้าย ส่งมาเลย เราจัดการเอง ฮึ ฮ้าๆๆๆ” ครั้นสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากราชคฤห์สู่มหาวิหารเชตะวันแห่งแคว้นโกศลเพื่อแสดงพระธรรมเทศนาในฤดูพรรษาต่อมานั้น
การกระทำที่ชั่วร้ายของพระเทวทัตเป็นที่วิพากษ์วิจารย์ในหมู่คฤหัสถ์
ข้อมหัตบาทที่พระเทวทัตกระทำ ก็ยังเป็นบทสนทนาแพร่หลายอยู่มิได้ลดราลง พระพุทธองค์ทรงสดับดังนั้น จึงมีพระกรุณาธิคุณปรารภถึงอดีตชาติของพระเทวทัตผู้ก่อกรรมทำเข็ญผูกพันกันมา “ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเทวทัตพยายามจะปลงชีวิตเรามิใช่แต่บัดนี้เท่านั้น
พระเทวทัตกลายเป็นสัญลักษณ์ที่น่าเกลียดน่ากลัวในกลุ่มของภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย
แม้ในอดีตชาติผ่านมา ก็พยายามทำมาแล้วเช่นกัน กาลครั้งหนึ่ง ณ ป่าใหญ่ไพรกว้างยังมีบึงน้ำเล็กๆ รายล้อมด้วยป่าละเมาะและโพรงไม้ริมบึง ในโพรงไม้นกสตปัตตะได้ทำรังอยู่ ในบึงก็เป็นที่อาศัยของเต่า ส่วนป่าละเมาะรอบๆ นั้นก็มีกวางพำนักอยู่ สัตว์ทั้งสามเป็นเพื่อนรักกัน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปรารภถึงอดีตชาติของพระเทวทัตแก่บรรดาภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย
กุรุงคมิคชาดก "พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสเล่ากุรุงคมิคชาดก ซึ่งเป็นเรื่องในอดีตชาติของพระเทวทัตซึ่งเคยเป็นพรานป่าที่ชั่วร้าย และคิดที่จะปองร้ายพระองค์เฉกเช่นเดียวกับชาติปัจจุบัน"
ต่างคอยดูแลกันและกันตลอดมา “หวัดดีจ้า เจ้าเต่าเจ้ากวาง” “หวัดดีจ้า เจ้านกน้อย เสียงเจ้านะ ปลุกข้าได้ทุกเช้าเลยนะเนี่ย เสียงดีจริงๆ” “เช้าวันไหนไม่ได้ยินเสียงเจ้า เช้านั้นคงเงียบสงบเลยนะ ฮะๆๆ” “แหม ชั้นก็มาปลุกให้สัตว์ทุกตัวตื่นไงจ๊ะ” ครั้งนั้นยังมีนายพรานคนหนึ่งผ่านมาพบรอยเท้ากวาง
นกสตปัตตะ เต่า กวาง สัตว์ทั้ง 3 ตัวเป็นเพื่อนรักกันและพักอาศัยอยู่ใกล้ๆกัน
จึงจัดการวางบ่วงเอาไว้ตามวิชาพราน “หึย..หิวๆๆๆ ไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าแล้วนี่ วันนี้ต้องล่าให้ได้สัก 5 ตัว เอามากินให้หนำใจเลย” พอดึกสงัดได้เวลาที่กวางต้องเดินผ่านตามทางที่นายพรานได้ทำกับดักล่อไว้ แล้วกับดักนั้นก็ทำงานได้ผล เจ้ากวางถูกบ่วงเชือกซึ่งทำดักไว้รัดข้อเท้าไว้อย่างแน่นหนา
นายพรานเข้าป่าล่าสัตว์และได้พบรอยเท้ากวางเลยทำการวางบ่วงดักไว้ตามเส้นทางเดินของกวาง
“โอ้ย ช่วยด้วยๆๆ เราถูกบ่วงพรานเข้าแล้วเพื่อนเอ้ย ช่วยด้วย” เจ้ากวางร้องขอความช่วยเหลือเพียงครั้งเดียว นกและเต่าก็รีบรุดมาหาและเข้าช่วยแก้ไขอย่างกระตือรือร้น “เจ้ากวางเอ้ย ไม่ต้องห่วงหรอก เต่าอย่างชั้นมีฟันอันแหลมคม ค่อยๆ กัดเดี๋ยวเชือกก็คงขาดเองแหละ”
เจ้ากวางถูกกับดักของนายพรานรัดข้อเท้าอย่างแน่นหนา
“ใช่ๆๆๆ ไม่ต้องกังวลไปหรอกเจ้ากวาง เดี๋ยวชั้นจะบินไปถ่วงเวลานายพรานเอง” “ขอบใจเจ้าทั้งสองมากนะ” ขณะที่นกสตปัตตะบินไปที่บ้านนายพรานเต่าก็จัดการกัดเชือกอย่างแข็งขัน “โอ๊ย อึบๆๆ เชือกอะไรเนี่ยเหนียวจริงๆ เลย ดีนะที่ฟันเราแหลมคม ไม่งั้นนะคงไม่ขาด
เจ้าเต่าได้ช่วยเหลือเพื่อนกวางโดยการกัดเชือกบ่วงที่แข็งและเหนียวยิ่งนัก
สามสหาย "นกสตปัตตะ เต่า กวาง สัตว์ทั้ง 3 ตัวอาศัยอยู่บริเวณใกล้ๆ กัน หากสัตว์ตัวใดได้รับความเดือดร้อน อีก 2 ตัวก็จะหาทางช่วยเพื่อนจนสำเร็จทุกครั้งไป"
นี่แน่ะๆ เมื่อยปากเหมือนกันนะเนี่ย เหนียวชะมัดเลย” “ทนเอาหน่อยนะเจ้าเต่า เรานะรู้ว่าเจ้าคงกัดเชือกจนปากเจ็บเหมือนกัน” “ไม่เป็นไรน่า สบายมาก” บ้านกลางป่าของนายพรานอยู่ไม่ไกลจากบริเวณที่กวางติดบ่วงนัก ทุกครั้งที่วางกับดักไว้นายพรานก็มักจะตื่นออกไปดูสัตว์ในจุดที่ตนดักบ่วงเอาไว้เสมอ
นกสตปัตตะบินมาดักรอนายพรานที่หน้าบ้านเพื่อต้องการถ่วงเวลาในการช่วยเจ้ากวาง
หากคืนนี้เปิดประตูออกมาก็จะถูกนกสตปัตตะจู่โจมทันที “มนุษย์ถือว่าเราเป็นนกโชคร้าย คืนนี้แหละนายพรานเจ้าจะโชคร้ายจริงๆ ซะที พรานเอ๋ย เตรียมตัวเจ้าไว้เลย นกอย่างเราไม่ปล่อยให้เจ้าไปดูกับดักง่ายๆ หรอก” เมื่อไก่ป่าส่งเสียงกันขันครั้งแรก
ในยามใกล้รุ่งสางนายพรานก็เตรียมตัวพร้อมในการที่จะออกไปดูบ่วงที่ตนดักไว้
นายพรานก็ตื่นนอนและเปิดประตูหน้ากระท่อมออกมา “อะฮ้า ออกมาแล้วรึเจ้าพรานใจร้าย ต้องเจอนกโชคร้ายซะหน่อยแล้ว เตรียมตัวเจ้าไว้ดีๆ เถอะ เจ้าพรานเอ๋ยลิ้มรสจากการจิกของข้าหน่อยเป็นไร นี่แน่ะๆๆๆๆ” “โอ้ย เจ็บๆๆๆ อะไรเนี่ย นกสตปัตตะ เฮ้ย โชคร้ายแต่เช้าเลยเรา หึ อารมณ์เสีย”
นกสตปัตตะโผเข้าจิกกัดนายพรานทันทีที่เขาก้าวออกจากบ้าน
นกสตปัตตะ "เชื่อกันว่า เป็นนกแห่งความชั่วร้าย หากเจอนกสตปัตตะขวางทางที่จะออกจากบ้านก็ให้เปลี่ยนการออกจากบ้านเป็นเส้นทางอื่น"
พวกพรานถือกันว่า หากนกสตปัตตะขวางทางให้เปลี่ยนทางใหม่ทันที เพราะถือว่าเป็นกาลกิณีอย่างหนึ่ง ครั้งนี้พรานจึงเปลี่ยนวิธีใหม่ไปออกทางประตูหลังกระท่อม “เฮ้ย..เปลี่ยนมาออกด้านหลังก็ได้เว้ย แหม นกโชคร้ายดันมาดักรอเราอีกแหละ สงสัยต้องรอให้มันไปซะก่อนดีกว่า
นกสตปัตตะเฝ้าดูนายพรานจนแน่ใจว่านายพรานจะไม่ออกจากบ้านจนกว่าจะตะวันจะโผล่จากขอบฟ้า
หื้อ..เช้านี้ทำไมมันวุ่นวายจริงๆ ว่ะ โชคร้ายจริงๆ” “เป็นไงล่ะ แน่จริงก็ออกมาสิ กลัวละซี” นกสตปัตตะได้รอดูจนแน่ใจว่านายพรานจะไม่ออกมาก่อนตะวันส่องฟ้าแน่ หลังจากนั้นมันก็บินกลับย้อนไปส่งข่าวแก่เพื่อนกวางและเตา “เข้าไปนั่งในกระท่อมอย่างนี้ คงเปลี่ยนใจไม่ไปแล้วใช่มะ
เจ้าเต่ากัดเชือกบ่วงจนฟันโยกคลอนเลือดไหลกลบปากแต่เชือกก็ยังไม่ขาด
ดีๆๆ บินไปบอกเจ้าเต่ากับเจ้ากวางก่อนดีกว่า ป่านนี้แล้ว กัดเชือกขาดยังก็ไม่รู้” ขณะนั้นเป็นเวลาใกล้รุ่งแล้วแต่เกลียวเชือกก็ยังขาดไม่หมด แม้ฟันทุกซี่ของเต่าจะโยกคลอนและอูมเลือดจนเต็มปากแล้วก็ตาม “อดทนหน่อยนะเพื่อน เร่งอีกนิดเถอะ นายพรานถือหอกตามมาแล้ว”
เจ้านกบินมาส่งข่าวว่านายพรานกำลังจะออกมาจากกระท่อมแล้ว
“จะมาแล้วเหรอ แง๊บๆๆๆ เร่งกัดให้ขาด” เจ้าเต่าข่มความเจ็บปวดใช้ฟันที่เหลือแทะเชือกจนใกล้ขาด ให้กวางพอมีกำลังกระชากจนบ่วงขาดได้ “อืม ขอบใจมากเจ้าเต่า เจ้านกเราหลุดออกมาได้แล้ว เชือกขาดแล้วไปกันเถอะ ก่อนนายพรานจะตามมาถึง” “เจ้ากับเจ้านกไปกันก่อนเถอะ
เจ้ากวางใช้กำลังโดยออกแรงดึงจนเชือกขาดเป็นอิสระในที่สุด
เราเหนื่อยจนไม่มีแรงแล้วเนี่ย” “ถ้างั้นเราไปก่อนเถอะเจ้ากวาง เดี๋ยวค่อยกลับมาช่วยเจ้าเต่า” เมื่อนายพรานมาถึงพบแต่เต่านอนหมดกำลังอยู่เพียงตัวเดียว “อ้าวเฮ้ย ทำบ่วงดักกวางแต่ดันได้เต่ามาแทน หื้ย..เอาก็เอาว่ะ ไม่เสียเที่ยวเปล่าแล้วกัน เนื้อเต่าเค้าบอกว่ากินแล้วจะอายุยืนนี่หว่า ฮะฮ้าๆๆ
เจ้าเต่านอนหมดแรงอยู่ใกล้ๆ กับขดเชือกซึ่งเคยเป็นบ่วงสำหรับดักเจ้ากวาง
ลองดูสักทีก็ดีเหมือนกันนะเนี่ย” นายพรานเอาผ้าห่อเต่าแขวนไว้ก่อน เพราะเห็นกวางโผล่ย้อนกลับมาหลอกล่อให้เห็นเวลานั้นพอดี “เจ้าพรานเราอยู่นี่ นี่ไงล่ะ อยากกินเนื้อกวางนักไม่ใช่เรอะ ตามมาซิ” “เฮ้ย นั่นกวางนี่ ฮั่นแน่ะ มื้อนี้ได้กินทั้งเต่าทั้งกวางแน่ๆ เลย หวานเราหล่ะ
เจ้านกสตปัตตะกับเจ้ากวางวางแผนล่อให้นายพรานเข้าไปในป่าลึก
รออยู่ตรงนี้น่ะ เจ้าเต่าจ๋า เดี๋ยวชั้นจะกลับมารับแกไปใส่หม้อแน่ๆ ไม่ต้องห่วง ขอไปล่ากวางก่อนแล้วกัน” เมื่อกวางขยับหนีพรานก็วิ่งตามเข้าไปในป่ารกชัฏที่วกวนลึกล้ำ ทางด้านนกสตปัตตะ จึงโผลงมาแจ้งข่าวความช่วยเหลือแก่เต่าให้เตรียมพร้อมไว้ “เจ้าเต่าๆ เตรียมกำลังให้พร้อมนะ
นายพรานจับเจ้าเต่าห่อผ้าและแขวนไว้กับกิ่งไม้ก่อนที่ตนจะตามล่ากวางต่อไป
ไม่นานกวางจะย้อนมาช่วยแก้ห่อผ้าให้ ตอนนี้กำลังล่อนายพรานให้เข้าไปในป่าอยู่” “ได้ๆๆๆ เดี๋ยวเราจะวิ่งลงน้ำให้ได้เร็วที่สุดเลย” “แล้วปากเจ้าเป็นไงบ้าง หายเจ็บรึยัง” “ค่อยยังชั่วบ้างแล้วหล่ะ ฮือ..เหลือฟันอยู่กี่ซี่ก็ไม่รู้เนี่ย เหอะๆๆ” เมื่ออาทิตย์อุทัยกวางได้หลอกนายพรานให้หลงกลไปไกล
เจ้ากวางหลอกล่อนายพรานให้หลงตามตนเข้าไปในป่าลึก
แล้วก็รีบวิ่งลงมาแก้มัดให้เต่าลงมาได้อย่างปลอดภัย “เอ้า.เจ้าเต่าลงมาได้แล้ว ขอบใจเจ้ามากนะ ถ้าไม่ได้เจ้าคอยกัดเชือกให้ ไม่ได้นกคอยถ่วงเวลา ป่านนี้ข้าคงกลายเป็นสเต็กกวางไปแล้ว” “ข้าก็ขอบใจเจ้ากับเจ้านกเหมือนกันนะ ที่กลับมาช่วยข้า ไม่งั้นคงเสร็จแน่ๆ เลย”
เจ้ากวางกับเจ้านกย้อนกลับมาช่วยเจ้าเต่าหลังจากที่หลอกนายพรานเข้าไปในป่าลึก
กุรุงคมิคชาดก "ความร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือกันในการแก้ไขปัญหา ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่ยากแต่ถ้าทุกอย่างมีการวางแผนและมีความตั้งใจจริงปัญหาทุกอย่างก็เรื่องเล็กและสามารถคลี่คลายได้ ดั่งที่ สัตว์สามสหายได้กระทำในข้างต้น"
“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่ว่าเจ้ารีบคลานลงไปในน้ำเถิด เดี๋ยวเรากับเจ้ากวางก็จะหนีไปซ่อนตัวในป่าเหมือนกัน และเดี๋ยวพอนายพรานไป เราค่อยออกมาเจอกันใหม่น่ะ” “ตามนี้นะ แยกกัน” เวลาล่วงไปจนใกล้เที่ยง พรานป่าถึงหาทางออกมายังจุดเดิมได้ เมื่อมาถึงต้นไม้ที่มัดเต่าไว้ ก็ต้องเจอกับความว่างเปล่า
นายพรานออกจากป่าลึกมาเจอห่อผ้าที่ว่างเปล่าล่าสัตว์ไม่ได้เลยแม้แต่ตัวเดียว
นายพรานจึงเก็บได้กับเชือกที่ขาดและห่อผ้าว่างเปล่ากลับไปอย่างผิดหวัง “ฮึ้ย..โกรธโว้ย..นึงไม่ถึงจริงๆ ว่าไอ้สัตว์พวกนี้มันจะร่วมด้วยช่วยกันดีขนาดนี้ ไม่น่าหลงตามแผนมันเล้ย หิวก็หิว กลับไปกินผักจิ้มน้ำพริกก่อนก็ได้ว่ะ เอาไว้คราวหน้าเสร็จชั้นแน่ๆ เลย จะกินให้หมดทั้งป่าเลย ทั้งนก กวาง เต่า คอยดูซิ”
สัตว์ทั้ง 3 ตัวมีน้ำใจช่วยเหลือซึ่งกันและกันทุกครั้งในยามที่เพื่อนที่มีภัยและอยู่ด้วยกันจนหมดสิ้นอายุขัย
เมื่อภัยร้ายผ่านพ้นไป เพื่อนทั้งสามก็ออกมาใช้ชีวิตกันตามธรรมชาติของตนต่อไปโดยไม่ประมาท เมื่อมีเหตุใดเกิดขึ้นกับตัวใดตัวหนึ่ง สัตว์ที่เหลืออีก 2 ตัวก็จะร่วมกันช่วยเหลือให้พ้นจากภัยร้ายได้ทุกครั้ง เป็นอย่างนี้ไปจนสิ้นอายุขัยตามๆ กัน สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสกุรุงคมิคชาดกให้ภิกษุเห็นประโยชน์ของการร่วมด้วยช่วยกันปกป้องภัย ดังภัยพระเทวทัตที่มีต่อพระพุทธศาสนา แล้วประชุมชาดกเป็นที่สุดแห่งพระธรรมเทศนานี้
ในพุทธกาลสมัยนั้น พรานล่าเนื้อกำเนิดเป็น พระเทวทัต
นกสตปัตตะ กำเนิดเป็น พระสารีบุตร
เต่าผู้กัดบ่วงขาด กำเนิดเป็น พระโมคคัลลานะ
กวาง เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า
CR : http://dmc.tv/a12151