วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

กุสนาฬิชาดก-ชาดกว่าด้วยประโยชน์ของการคบมิตร

 รุจาเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่กับกุสนาฬิเทวดากำลังวิตกถึงการมาของทหาร
 
    ณ บ้านมหาเศรษฐีนามอนาถบิณฑิกะ ได้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น เมื่ออนาถบิณฑิกะเศรษฐีได้คบหากับมิตรผู้ที่ฐานะต่ำต้อยกว่า และได้แต่งตั้งให้บุรุษผู้นั้นเป็นผู้ดูแลสมบัติทั้งหมดของตน เหล่าบรรดาญาติพวกพ้องของท่านอนาถบิณฑิกะต่างแสดงความไม่พอใจ และขอให้ท่านเศรษฐีเลิกคบหากับมิตรผู้นั้น
 
บรรดาญาติของท่านอนาถบิณฑิกะ ต่างขอร้องให้ท่านเลิกคบมิตรที่ฐานะต่ำต้อยกว่า
 
บรรดาญาติของท่านอนาถบิณฑิกะต่างขอร้องให้ท่านเลิกคบมิตรที่ฐานะต่ำต้อยกว่า
  
    “ท่านเศรษฐีเชื่อฉันเถอะ อย่าคบหากับบุคคลท่านนี้เลย” “พวกเราไม่เข้าใจว่าท่านคบกับบุคคลที่ต่ำต้อยกว่าได้เช่นไร” “ท่านเศรษฐีดูเอาเถอะ คนผู้นี้ไม่ทัดเทียมกับท่านเลย ทั้งชาติ โคตร ทรัพย์ และธัญชาติ” “ธรรมดาความสนิทสนมกันฉันมิตรกับคนที่ต่ำกว่าก็ดี คนที่เสมอกันก็ดี คนที่สูงกว่าก็ดี ควรกระทำทั้งนั้น
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนำเรื่องในอดีต มาสาทกต่อบรรดาญาติท่าน
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนำเรื่องในอดีตมาสาทกต่อบรรดาญาติท่านเศรษฐี
 
    พวกท่านหยุดพูดเถิด เราได้ตัดสินใจแล้ว” ในครั้งนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู่ ณ เชตะวันมหาวิหาร เมื่อพึงทราบเรื่องที่เกิดขึ้น พระองค์จึงกับเหล่าญาติเศรษฐีว่า “ดูก่อนคฤหบดี ธรรมดามิตรเสมอด้วยตนก็ดี ต่ำกว่าตนก็ดี ยิ่งกว่าตนก็ดี ควรคบไว้
 
นครพาราณสีในรัชสมัยของพระเจ้าพรหมทัต
 
นครพาราณสีในรัชสมัยของพระเจ้าพรหมทัต
 
    เหตุว่ามิตรเหล่านั้นแม้ทั้งหมดย่อมช่วยแบ่งเบาภาระที่มาถึงตนได้ทั้งนั้น บัดนี้ท่านอาศัยมิตรผู้ชี้ขาดการงานของตน จึงเป็นเจ้าของขุมทรัพย์ได้สืบไป” อนาถบิณฑิกะเศรษฐีได้กราบทูลอาราธนา องค์พระศาสดาจึงทรงนำเรื่องในอดีตมาสาทกดังต่อไปนี้ ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี
 
ต้นสมุขกะซึ่งเป็นไม้มงคลพฤกษ์
 
ต้นสมุขกะซึ่งเป็นไม้มงคลพฤกษ์
 
    ในอุทยานของพระราชามีต้นรุจมงคล อาศัยมงคลศิลา มีลำต้นตั้งตรงแผ่กิ่งก้านสาขาสวยงามได้รับการยกย่องจากราชสำนักเรียกกันว่า ต้นสมุขกะ หรือต้นไม้พูดได้ เพราะมีเทวดาสิงอยู่ เทวราชผู้มีศักดิ์ใหญ่ตนหนึ่งบังเกิดที่ต้นไม้นั้น บริเวณข้างๆ ต้นไม้มงคลมีกอหญ้าที่มีรุกขเทวดาอาศัยอยู่ด้วย รุจาเทวดา
 
ใกล้ต้นสมุขกะมีกอหญ้าที่มีรุกขเทวดาอาศัยอยู่
 
ใกล้ต้นสมุขกะมีกอหญ้าที่มีรุกขเทวดาอาศัยอยู่
  
    เทวราชผู้มีศักดิ์ที่อาศัยอยู่ในตนไม้มงคล และกุสนาฬิเทวดา รุกขเทวดาที่อาศัยอยู่ในกอหญ้า คบหาเป็นมิตรสหายโดยมิได้คำนึงถึงศักดิ์ที่ต่างกันแม้แต่น้อย “วันนี้อากาศดีจริงๆ เลยนะท่าน” “อึม..ใช่ อากาศดีอย่างนี้น่าจะมีแต่เกิดเรื่องดีๆ ขึ้นนะท่านว่ามั๊ย เฮอะๆๆ” “ก็ไม่รู้ว่ามันจะเกี่ยวกันหรือเปล่า แต่ก็อยากให้เป็นดังที่ท่านว่า เฮอะๆๆๆ”
 
เทวดาทั้งสองต่างคบหาเป็นมิตรสหาย โดยมิได้คำนึงถึงศักดิ์ที่ต่างกัน
 
เทวดาทั้งสองต่างคบหาเป็นมิตรสหายโดยมิได้คำนึงถึงศักดิ์ที่ต่างกัน
  
    ครั้งนั้นพระราชาเสด็จประทับอยู่ในปราสาทเสาเดียว เสาของปราสาทนั้นสั่นไหว พวกราชบุรุษพากันกราบทูลความสั่นไหวของเสานั้นแด่พระราชา “โอ๊ะๆๆ..โอ๊ย..เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ทำไมปราสาทของเรามันถึงได้สั่นไหวเช่นนี้” “ขอเดชะ เป็นเพราะเสาปราสาทนั้นผุกร่อนสั่นไหว จึงทำให้ปราสาทไหวตามพะยะค่ะ”
 
พระราชาทรงตกพระทัยในอาการสั่นไหวของปราสาท
 
พระราชาทรงตกพระทัยในอาการสั่นไหวของปราสาท
  
    “โอ๊ะ...พวกเจ้ามัวทำอะไรกันอยู่ รู้ว่าเสาผุก็หาเสาใหม่มาเปลี่ยนซิ ไม่ไหวเลย ปล่อยให้ปราสาทไหวอยู่ได้” “พะยะค่ะ” เมื่อรู้ว่าปราสาทสั่นไหวเหตุเพราะเสาผุกร่อน พระราชาจึงรับสั่งให้ทหารรีบหาเสาใหม่มาเปลี่ยนเร็ววัน เหล่าทหารต่างก็เร่งหาต้นไม้ต้นใหม่มาใช้แทนเสาต้นเก่ากันจ้าละหวั่น
 
เหล่าทหารต่างพากันออกหาต้นไม้ใหญ่เพื่อมาทำเสา
 
เหล่าทหารต่างพากันออกหาต้นไม้ใหญ่เพื่อมาทำเสา
 
    ในที่สุดก็พบต้นไม้ที่เหมาะสม “เฮ้ยพวกเราช่วยกันเร่งมือหาหน่อยเว้ย เอาต้นไม้ต้นไหนดีเนี่ย..เฮ้อ” “เฮ้ย...นั่นไงๆ เอาต้นไม้ต้นนั้นซิ ต้นใหญ่เชียว น่าจะแข็งแรงดีนะพี่เนี่ย” “เออดีๆๆ แต่เอ้ ต้นไม้ต้นนี้เป็นต้นไม้มงคล ต้นสมุขกะต้องเรียนพระราชาก่อน จะตัดได้หรือเปล่าก็ไม่รู้น่า” “ก็ดีนะซี พรุ่งนี้เราค่อยมากันใหม่แล้วกันนะ”
 
อำมาตย์ทรงกราบทูลพระราชาเรื่องไม้มงคล
 
อำมาตย์ทรงกราบทูลพระราชาเรื่องไม้มงคล
 
    “พบแล้วพะยะค่ะ ต้นไม้ที่เหมาะสำหรับทำเสาปราสาท” “ว่ายังไงนะ พวกเจ้าเห็นแล้วเหรอ” “พะยะค่ะ พวกข้าพระองค์พากันเข้าสู่พระอุทยาน ในพระอุทยานนั้นเล่าเว้นต้นมงคลพฤกษ์แล้ว ก็ไม่เห็นต้นอื่นๆ เนื่องจากเป็นมงคลพฤกษ์ พวกข้าพระองค์จึงไม่กล้าตัดต้นไม้นั้นพระเจ้าค่ะ”
         
เหล่าทหารและช่างไม้ทำพลีกรรมแก่ต้นไม้มงคล
 
เหล่าทหารและช่างไม้ทำพลีกรรมแก่ต้นไม้มงคล
 
    “พวกเจ้าจงพากันไปตัดเถิด จะได้ทำปราสาทให้มั่นคง เราจะตั้งต้นอื่นเป็นมงคลพฤกษ์แทน” “พะยะค่ะ” หลังจากรับคำสั่งจากพระราชาแล้ว พวกช่างไม้และทหารจึงพากันถือเครื่องพลีกรรมไปสู่อุทยาน “วันนี้พวกเรามากระทำพลีกรรมแก่ต้นไม้ก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาตัด”
 
รุจาเทวดาโศกเศร้ายิ่งนัก เพราะต้นไม้ที่สิงสถิตจะถูกโค่นลง
 
รุจาเทวดาโศกเศร้ายิ่งนักเพราะต้นไม้ที่สิงสถิตจะถูกโค่นลง
 
    “ดีเลย วันนี้เดินไปเดินมาล้าไปหมดแล้วเนี่ย ไปๆๆ..กลับกันก่อนดีกว่าพวกเรา พรุ่งนี้ค่อยทำงานกันก่อนนะ” เมื่อรุจาเทวดารู้ว่าต้นไม้มงคลที่อาศัยอยู่จะถูกตัดพรุ่งนี้ก็เศร้าโศกเสียใจ “เฮ้อ...พวกทหารจะมาตัดต้นไม้แล้ว ที่นี้เราจะเอาต้นไม้ที่ไหนสถิตละทีเนี่ย..เฮ้อ”
 
กุสนาฬิเทวดารับปากจะช่วยเหลือรุจาเทวดาด้วยวิธีของตน
 
กุสนาฬิเทวดารับปากจะช่วยเหลือรุจาเทวดาด้วยวิธีของตน
 
    หมู่รุกขเทวดาที่รู้จักมักคุ้นของเทวดานั้น พากันไต่ถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ครั้นได้ฟังแล้วก็ไม่สามารถที่ช่วยอะไรได้ “เรามองไม่เห็นหนทางที่จะช่วยท่านได้จริงๆ” “นั่นนะซี ในอุทยานเนี่ยก็มีไม้ใหญ่แค่ต้นนี้ต้นเดียว” กุสนาฬิเทวดาเมื่อรู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ก็เข้ามาปลอบใจและคิดหาวิธีแก้ไข
 
เหล่าทหารและนายช่างเข้าอุทยานมาเพื่อตัดต้นไม้มงคล
 
เหล่าทหารและนายช่างเข้าอุทยานมาเพื่อตัดต้นไม้มงคล
   
    “ชั่งเถอะ อย่ามัวเสียใจเลย เราจะไม่ให้คนตัดต้นไม้นั้น พรุ่งนี้เวลาพวงช่างมา พวกท่านคอยดูเถอะเราจะจัดการแก้ไขปัญหานี้เอง” รุ่งเช้าทหารและนายช่างถือเครื่องมือและพากันเดินเข้ามาในอุทยานเตรียมตัวที่จะตัดต้นไม้มงคล “เฮ้ย....เช้านี้อากาศดีจริงๆ เว้ย..ทำงานกันเถอะพวกเรา รีบตัดไป จะได้รีบไปซ่อมเสาที่ปราสาท”
 
 
กุสนาฬิเทวดาแปลงกายเป็นกิ้งก่า
 
กุสนาฬิเทวดาแปลงกายเป็นกิ้งก่า
 
    "อึบ..เอ่อ..เช้าๆ อย่างนี้แรงกำลังดีเลยละพี่ เอ้า..ลุยเลยพวกเรา” “เอ้า ฮุยเลฮุย เอ้า” "ทำยังไงดีละท่าน พวกทหารเข้ามาตัดไม้กันแล้ว” “ท่านอย่าวิตกกังวลไปเลย เดี๋ยวเราจัดการเอง” เมื่อทหารกับนายช่างเดินเข้ามาใกล้ต้นไม้ กุสนาฬิเทวดาจึงแปลงกายเป็นกิ้งก่าวิ่งนำหน้าพวกช่างไม้เข้าไปสู่โคนของมงคลพฤกษ์
 
กิ้งก่าจำแลงวิ่งนำหน้าพวกช่างไม้ เข้าไปสู่โคนของไม้มงคลพฤกษ์
 
กิ้งก่าจำแลงวิ่งนำหน้าพวกช่างไม้เข้าไปสู่โคนของไม้มงคลพฤกษ์
  
    กุสนาฬิเทวดา รุกขเทวดาที่อาศัยอยู่ในกอหญ้า เมื่อแปลงร่างเป็นกิ้งก่าแล้วก็วิ่งเข้าไปสู่โคนของมงคลพฤษ กระทำประหนึ่งต้นไม้นั้นเป็นโพรง “ฮ้า..ต้นไม้นี้ เป็นโพรงรึเนี่ย ทำไมเมื่อวานเจ้าไม่ตรวจให้ดีๆ เสียเวลาไหม๊เนี่ย..ฮึย” “แย่เลย เอาต้นนี้ไปทำเป็นเสาปราสาทต้องหล่มแน่ๆ เลย งานนี้โดนด่าอีกแล้วเรา”
 
เหล่าทหารและนายช่างต่างตกใจ ที่เห็นต้นไม้มงคลเป็นโพรง
 
เหล่าทหารและนายช่างต่างตกใจที่เห็นต้นไม้มงคลเป็นโพรง
 
    “เจ้านี่ทำงานไม่ได้เรื่อง ไปเลยไปรีบไปหาต้นไม้ที่อื่นเลย ในอุทยานไม่มีเจ้าก็ต้องออกไปหาในป่าโน้น ไปเลย”  “โห๊ย..เหนื่อยอีกแล้วละตู..เฮ้อ” แผนที่กุสนาฬิวางไว้ประสบผลสำเร็จ ทหารและช่างไม้เลิกล้มความคิดที่จะตัดต้นไม้มงคล เหล่ารุขเทวดาต่างก็แสดงความยินดีกับรุจาเทวดาจึงได้จัดการประชุมกลุ่มรุขเทวดาขึ้นเพื่อแสดงความดีใจกับรุจาเทวดาที่ไม่ต้องเสียต้นไม้มงคลแหล่งอาศัย
 
นายช่างและทหารล้มเลิกความคิดที่จะตัดต้นไม้มงคล
 
นายช่างและทหารล้มเลิกความคิดที่จะตัดต้นไม้มงคล
 
    “เราได้วิมานของเรากลับคืนมาแล้ว ดูก่อนเทพเจ้าผู้เจริญทั้งหลายชาวเราถึงจะเป็นเทวดามเหศักดิ์ไม่รู้อุบายนี้ เพราะปัญญาทึบ ส่วนเทวดากุสนาฬิได้กระทำให้เราเป็นเจ้าของวิมานได้เพราะญาณสมบัติของตน ข้าพเจ้าเป็นเทวดาเกิดที่ไม้รุจาและเทวดาเกิดที่กอหญ้าคามีศักดิ์น้อย ข้าพเจ้าแม้จะมีศักดามากก็ไม่อาจบำบัดทุกข์ที่เกิดแก่ตนได้
 
รุจาเทวดาแสดงธรรมแก่หมู่เทวดา
 
รุจาเทวดาแสดงธรรมแก่หมู่เทวดา
  
    เพราะเป็นคนเขลาไม่ฉลาดในอุบาย แต่ได้อาศัยเทวดาผู้นี้ แม้จะมีศักดาน้อยก็เป็นบัณฑิตจึงพ้นจากทุกข์ได้ ฉะนั้นแม้คนอื่นๆ ประสงค์จะพ้นทุกข์ก็ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงความเสมอกันและความวิเศษกว่ากัน พึงคบมิตรทั้งต่ำทั้งประณีต” รุจาเทวดาแสดงธรรมแก่หมู่เทวดาด้วยคาถานี้ดำรงอยู่ชั่วอายุขัยแล้วไปตามยถากรรมพร้อมกุสนาฬิเทวดา
 
 
            รุจาเทวดาในครั้งนั้นได้มาเป็น พระอานนท์
            ส่วนกุสนาฬิเทวดาเสวยพระชาติเป็น องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
http://dmc.tv/a11139

วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ทุมเมธชาดก-ชาดกว่าด้วยการใช้อำนาจให้เป็นประโยชน์

 พระเจ้าพรหมทัตผู้ครองนครพาราณสีด้วยความสงบร่มเย็น
 
    วสันตฤดูครั้งนั้น สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จกลับมาพักผ่อนพระวรกาย หลังจากตรากตรำเผยแผ่พระศาสนามาเนิ่นนาน โดยไม่ย่อท้อต่อความทุรกันดารและอุปสรรคใดๆ พระเกียรติคุณนี้เป็นที่สรรเสริญกันอย่างกว้างขวางในหมู่พุทธบริษัท พระพุทธองค์ทรงใช้วาระนั้นปรารภถึงการบำเพ็ญประโยชน์แก่โลกในครั้งอดีตชาติขึ้นเรื่องหนึ่ง
  
พระพุทธองค์ทรงปรารภถึงการบำเพ็ญประโยชน์ แก่โลกเมื่อครั้งในอดีต
 
พระพุทธองค์ทรงปรารภถึงการบำเพ็ญประโยชน์แก่โลกเมื่อครั้งในอดีต
 
    เป็นชาดกแสดงการใช้อำนาจด้วยปัญญาอันนำมาซึ่งประโยชน์ต่อชาวโลกอย่างมหาศาล ณ กรุงพาราณสี ริมฝั่งคงคามหานทีแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ เหล่าประชาชีต่างใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ในวาระประสูติกาลของเจ้าชายพระองค์น้อยประชาชนทั้งเมืองได้ออกมาร่วมแซ่ซ้องถวายพระพร ทั้งเมืองเต็มไปด้วยความยินดีปลื้มปีติ
  
ชาวเมืองเข้าถวายพระพรพระราชโอรส
 
ชาวเมืองเข้าถวายพระพรพระราชโอรส
  
    “เอ้า! เดินเร็วๆ เข้าลูก เดินไปถวายพระพรให้เจ้าชายองค์น้อยกัน” “โอ้โห! ชาวบ้านมากันเยอะแยะเต็มวังเลย” โฮ้ย! เข้าไปข้างในกันสักทีซิวะ เป็นพนักงานต้อนรับกันรึไง? มายืนยิ้มอยู่หน้าทางเข้าน่ะ โฮ้ย” “โอ้ย! พวกแกเล่นดนตรีกันไปสองคนได้ไหม ข้าอยากไปร่วมถวายพระพรด้วยน่ะ” “ตีกลองไปเถอะน่า เสียงดนตรีจากพวกเรา ก็คือคำถวายพระพรเช่นกันแหละ”
  
บรรดาพสกนิกรต่างชื่นชมในความน่ารัก น่าเอ็นดูของเจ้าชายองค์น้อย
 
บรรดาพสกนิกรต่างชื่นชมในความน่ารักน่าเอ็นดูของเจ้าชายองค์น้อย
  
    ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานนับหลายปี แต่ความปลื้มปีติของชาวพสกนิกรที่มีต่อเจ้าชายพระองค์น้อยของพวกเขาก็ยังคงอยู่ทุกวันเวลา มิเคยเลือนหาย เจ้าชายน้อย นาม พรหมทัต ทรงเป็นสิ่งล้ำค่าสูงสุดของกรุงพาราณสี “องค์ชายของเราน่ารักน่าเอ็นดู ข้าน่ะ ทั้งเคารพและรักเลยแหละ” “ฮ่าๆๆๆ แต่ข้าเคารพรักมากกว่าแกอีกโว้ย”
  
พระราชโอรสเป็นที่รักของพระราชมารดาเป็นยิ่งนัก
 
พระราชโอรสเป็นที่รักของพระราชมารดาเป็นยิ่งนัก
 
    “ฮิๆๆ ไอ้พวกขี้คุย ข้าเคารพรักมากกว่าพวกแกสองคนรวมกันอีก ฮิๆๆๆ” “เจ้าชายของเราเมื่อทรงเติบใหญ่แล้วจะต้องเป็นเจ้าชายที่เก่งที่สุดเป็นแน่” “ข้าก็ว่าอย่างนั้นแหละ นอกจากเก่งแล้วยังหล่อเหลาด้วยนะ ฮ่าๆๆๆๆ” “แม่... เมื่อไหร่พวกเราจะมีโอกาสได้เข้าเฝ้าเจ้าชายน้อยอีกล่ะคะ” “ใจเย็นๆ สิจ๊ะลูก เดี๋ยวท่านก็เสด็จมาเยี่ยมเยียนพวกเราอีกนั่นอีกแหละ”
 
เด็กน้อยรบเร้าให้มารดาพาตนเข้าเฝ้า พระราชโอรสในวัง
 
เด็กน้อยรบเร้าให้มารดาพาตนเข้าเฝ้าพระราชโอรสในวัง
 
    เจ้าชายน้อยทรงเพียบพร้อมในสรรพสิ่งตามสมควรแก่ขัตติยะราช มีชีวิตวัยเด็กด้วยความเกษมสำราญ “ท่านพี่ทอดพระเนตรโอรสของเราสิคะ ยิ่งเจริญวัย ยิ่งสง่างาม” “ฮ่าๆๆๆ ตอนพี่เด็กๆ ก็สง่างามเช่นนี้แหละ น้องหญิง พรหมทัตน่ะ ถอดแบบพี่ออกมาเลยแท้ๆ”
 
เจ้าชายน้อยทรงเพียบพร้อมในสรรพสิ่ง ตามสมควรแก่ขัตติยะราช
 
เจ้าชายน้อยทรงเพียบพร้อมในสรรพสิ่งตามสมควรแก่ขัตติยะราช
 
    จากวัยกุมารน้อยสู่วัยหนุ่ม เจ้าชายพรหมทัตทรงเจนจบกระบวนรบและศาสตราวุธดุจขุนทหารที่แข็งแกร่ง “โอ้! ทรงพระปรีชาสามารถแท้ๆ แม้จะมีชันษาได้เพียง 16 ปี แต่พระองค์ทรงสามารถเรียนจบศิลปศาสตร์ชั้นสูง ไตรเทพทั้ง 18 แขนงได้ ซึ่งไม่เคยมีใครผู้ใดทำได้มาก่อนเลยพะยะค่ะ” “ก็ได้ท่านช่วยฝึกปรือให้ข้าด้วยนั่นแหละ”
 
พระโอรสทรงพระปรีชาสามารถในด้านศาสตราวุธทุกแขนง
 
พระโอรสทรงพระปรีชาสามารถในด้านศาสตราวุธทุกแขนง
 
     ด้วยทรงพระปรีชาสามารถและความโอบอ้อมอารีของเจ้าชาย ทำให้ชาวพสกนิกรทวีความจงรักภักดี เชิดชูมากยิ่งขึ้น พรหมทัตกุมารมิได้ทรงหลงใหลในคำเยินยอสรรเสริญแต่ประการใด ยังคงเฝ้าดูและห่วงใยพสกนิกรด้วยความรักใคร่ “อืม พรหมทัต โอรสของเราเนี่ยะ ช่างอัจฉริยภาพทางการปกครองจริงๆ เห็นทีเราต้องพระราชทานพระยศให้เป็นมหาอุปราชแล้วล่ะ
 
พระโอรสทรงเสด็จออกเยี่ยมราษฎรอย่างใกล้ชิด
 
พระโอรสทรงเสด็จออกเยี่ยมราษฎรอย่างใกล้ชิด
  
    จะได้เรียนรู้การปกครองพาราณสีมากยิ่งขึ้น” เมื่อเจ้าชายพรหมทัตได้พระราชทานเป็นมหาอุปราชก็ทรงทำหน้าที่ได้อย่างดี ออกเสด็จเยี่ยมประชาชนอย่างใกล้ชิด“อืม ประชาชนส่วนใหญ่ในพาราณสียังยากจนอยู่รึเนี่ย? เราต้องทำอะไรสักอย่าง ให้พวกเขาเหล่านี้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นบ้างแล้ว”
 
ราษฎรส่วนใหญ่ไม่ทำมาหากินชอบเซ่นไหว้บูชายัญ
 
ราษฎรส่วนใหญ่ไม่ทำมาหากินชอบเซ่นไหว้บูชายัญ
 
     “อุ้ย! เจ้าชายพรหมทัต มีม้าตั้ง 2 ตัว เราขอม้าพระองค์มากินสักตัวดีไหมตา?” “โอ้! เจ้าชายพรหมทัต เสด็จมาแล้ว อยากออกไปรับเสด็จใกล้ ๆ เหลือเกิน โอ้ย! แต่ไม่มีแรงเดิน โอ้! หิว” ซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้น เจ้าชายพรหมทัตยังทรงพบว่าราษฎรส่วนใหญ่เกียจคร้านไม่ทำมาหากิน หวังพึ่งแต่ผีสางเทวดา เอาแต่เซ่นไหว้บูชายัญ
 
บรรดาสัตว์น้อยใหญ่ถูกจับฆ่าเพื่อเซ่นไหว้บูชายัญ
 
บรรดาสัตว์น้อยใหญ่ถูกจับฆ่าเพื่อเซ่นไหว้บูชายัญ
 
     “สาธุ! เจ้าพ่อต้นไทรโปรดช่วยดลบันดาลให้ลูกได้เจอแต่โชคลาภด้วยเถิด เฮ้อ! ไหว้เสร็จแล้วไปนอนดีกว่า เดี๋ยวโชคก็มาเอง ฮิๆๆๆ” “เจ้าพ่อต้นไทรเจ้าคะ ช่วยดลบันดาลให้มีอาเสี่ยมาเลี้ยงลูกสักคนด้วยเถิด ลูกช้างนะ ไม่เรื่องมากหรอกค่ะ เอาแบบรวยๆ หล่อๆ สูง ยาว เข่า ดี มีเชื้อเจ้า อืม...มีเค้าโง่หน่อยๆ ก็ดีนะเจ้าคะ”
ราษฎรต่างหลงงมงายหวังพึ่งแต่โชคลาภ จากการบูชายัญ
ราษฎรต่างหลงงมงายหวังพึ่งแต่โชคลาภจากการบูชายัญ
 
     “สาธุ! เจ้าพ่อต้นไทร ลูกน่ะไม่ขออะไรมากหรอก ขอแค่เลขเด็ดๆ สัก 3 ตัว ติดต่อกันสักยี่สิบสามสิบงวดก็พอ ลูกเตรียมตัวนะขอรับ” นานวันเข้าสัตว์ที่ถูกฆ่าเพื่อนำมาเส้นไหว้บูชายัญก็มากขึ้น เสียงร้องโหยหวนเจ็บปวด ทนทุกข์ทรมานดังระงมไปทั่วเมือง เป็นที่น่าสังเวชใจยิ่งนัก
 
เจ้าชายพรหมทัตกระทำการบูชายัญต่อเจ้าพ่อต้นไทร
 
เจ้าชายพรหมทัตกระทำการบูชายัญต่อเจ้าพ่อต้นไทร
 
     “หึๆๆๆ งวดนี้น่ะได้มาเยอะ เอาของอร่อยๆ ไปเซ่นไหว้เจ้าพ่อต้นไทรสักหน่อย” เมื่อผู้คนเกียจคร้านไม่ทำมาหากิน หวังพึ่งแต่ผีสางเทวดา นานไปความจนความอดอยากก็เป็นเหตุให้มีโจรผู้ร้ายอยู่ทั่วเมือง “หึๆๆๆ เอาหัวหมูมาถวายได้ลาภจากเจ้าพ่อต้นไทรมาเพียบล่ะซิ อย่างนี้ต้องปล้นเอาหัวหมูมาแกล้มเหล้า
 
เจ้าชายพรหมทัตทรงเสด็จขึ้นครองราชย์ ต่อจากพระราชบิดา
 
เจ้าชายพรหมทัตทรงเสด็จขึ้นครองราชย์ต่อจากพระราชบิดา
 
    เอ้ย! ไม่ใช่ต้องปล้นเงินให้เกลี้ยง หึๆๆๆ” เจ้าชายพรหมทัต แม้จะทรงรู้ว่าความเชื่อผิดๆ ของชาวบ้านเป็นสาเหตุของปัญหาก็มิได้ทรงใช้อำนาจทำลายโดยทันที กลับเสด็จไปบูชาเจ้าพ่อต้นไทรร่วมกับชาวบ้านแทน “โอ้! เจ้าชายพรหมทัต เสด็จมาบูชาเจ้าพ่อต้นไทรอีกแล้ว ช่างขยันขันแข็งจริงๆ น่านับถือๆ”
 
บรรดาอำมาตย์ราชบุรุษต่างตกใจที่เจ้าชายให้หาคน 1,000 คน มาบูชายัญ
 
บรรดาอำมาตย์ราชบุรุษต่างตกใจที่เจ้าชายให้หาคน 1,000 คน มาบูชายัญ
 
    “นี่แหละ เจ้าชายผู้เป็นมหาราชของพาราณสี ช่างน่าชื่นชมจริงๆ” ต่อมาราชาแห่งพาราณสีก็เสด็จสวรรคต องค์อุปราชพรหมทัตได้ขึ้นครองบัลลังก์แทน ทรงพระนาม “พระเจ้าพรหมทัต” เมื่อได้ครองราชย์พระเจ้าพรหมทัตก็ทรงปราบปรามเหล่าโจรผู้ร้าย และทำนุบำรุงปวงประชาเป็นอย่างดี
 
ประชาชนต่างตื่นตระหนกในประกาศจากพระราชวัง
 
ประชาชนต่างตื่นตระหนกในประกาศจากพระราชวัง
  
    “ปัญหาต่างๆ เราก็ขจัดจนหมดสิ้น เหลือเพียงอย่างเดียวต้องขจัดความลุ่มหลง มัวเมาของประชาชนให้หมดไป ท่านราชบุรุษ เราเคยบนบานเจ้าพ่อต้นไทรไว้ ว่าหากได้ครองบัลลังก์เมื่อใด เราจะจัดเครื่องเซ่นไหว้บูชาอย่างยิ่งใหญ่ ท่านช่วยหาเครื่องเซ่นไหว้และประกาศให้ชาวบ้านมาร่วมพิธีด้วยนะ”
 
ประชาชนพากันหวาดกลัวและล้มเลิกความคิดในการบูชายัญ
 
ประชาชนพากันหวาดกลัวและล้มเลิกความคิดในการบูชายัญ
 
    “จะให้หม่อมชั้นเตรียมเครื่องเซ่นไหว้เป็นอะไรรึพระเจ้าค่ะ?” “เอาเป็นชีวิตของคนบาปที่ทำผิดศีล 5_น่ะ โดยเฉพาะไอ้พวกที่ชอบฆ่าสัตว์ หามาเซ่นสังเวยสักพันชีวิตซิ” “หา! โอ่! ไม่น่าเชื่อ อะไรเนี่ย” เมื่อชาวบ้านทั่วกรุงพาราณสีได้ทราบข่าวการเซ่นไหว้ของพระเจ้าพรหมทัต ก็เกิดความกลัว สิ่งนี้นั่นเองที่ทำให้ชาวบ้านเกิดสติ คิดพิจารณาผิดชอบชั่วดี
 
ประชาชนชาวเมืองต่างพากันทำมาหากินด้วยความขยัน ไม่เกียจคร้านอย่างแต่ก่อน
 
ประชาชนชาวเมืองต่างพากันทำมาหากินด้วยความขยันไม่เกียจคร้านอย่างแต่ก่อน
 
     “เฮ้อ! เจ้าลาที่เราเอาหัวมันมาเซ่นไหว้นี้ มันก็คงรักชีวิตของมันเหมือนสินะ เราเนี่ย..ช่างทำเรื่องผิดศีลธรรมแท้ๆ เลย เอาหัวเจ้าคืนไปเถอะ ฉันผิดไปแล้ว ขอโทษด้วยนะ เจ้าลา” “อุ้ย! พระเจ้าพรหมทัตน่ะ ทรงขึ้นครองราชย์ได้เพราะพระปรีชาสามารถแท้ๆ ไม่ใช่เพราะเจ้าพ่อต้นไทรดลบันดาลซักหน่อย ทำไมต้องเอาชีวิตคนไปเซ่นไหว้ด้วยละ”
 
เหล่าราษฎรต่างมีน้ำใจช่วยเหลือช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
 
เหล่าราษฎรต่างมีน้ำใจช่วยเหลือช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
 
    “เฮ้อ พระราชาทรงทำให้พวกเราคิดได้แท้ๆ ที่ผ่านมาเรามีความเชื่อที่ผิดๆ มาตลอดหรือเนี่ย” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชาวบ้านกรุงพาราณสีก็ขยันทำมาหากิน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ชาวบ้านต่างดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข “ลูกรัก แม่มีข้าวมาให้เจ้ากินแล้วล่ะ วันหลังแม่จะไปทำงานบ้านเศรษฐีอีก ลูกจะไม่อดอยากอีกแล้วนะจ๊ะ”
 
เจ้าชายพรหมทัตปกครองแผ่นดินพาราณสีอย่างสงบสุขร่มเย็น
 
เจ้าชายพรหมทัตปกครองแผ่นดินพาราณสีอย่างสงบสุขร่มเย็น
 
    “เอ้า! มารับค่าแรงกันได้แล้ว วันนี้ท่านเศรษฐีใจดีเอาข้าวของมาแจกให้เรากินกันที่บ้านด้วย” “โอ่ย หลงพึ่งเจ้าพ่อต้นไทรมานานจนอดอยากปากแห้ง คราวนี้ทำงานเองมีข้าวกินแล้วเว้ย” จากนั้นกรุงพาราณสีของพระเจ้าพรหมทัตก็สงบสุขร่มเย็นเป็นแผ่นดินธรรมไปตลอดรัชสมัย
 
 
ทุมเมธานํ สหสฺเสน                           ยญโณ เม อุปยาจิโต
อิทานํ โขหํ ยชิสฺสามิ                          พหฺ อธมฺมิโก ชโน
 
เราเข้าไปบนไว้ว่า จะบูชายัญด้วยคนโง่ๆ พันคน
บัดนี้เราจะต้องกระทำ เพราะคนที่ประพฤติ “อธรรม” เช่นนี้มีมากแล้ว

http://dmc.tv/a11187

วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ปัณฑรกชาดก-ชาดกว่าด้วยโทษการเปิดเผยความลับแก่ผู้อื่น

ปัณฑรกนาคราชและพญาครุฑผู้เป็นอริต่อกัน

    ปลายพุทธกาลวาระหนึ่ง เมื่อภิกษุในธรรมสภาปรารภถึงพระเทวทัตเถระซึ่งถูกทรณีสูบลงไปยังยมโลกเหตุเพราะก่อพุทธประหาร เทวทัตซึ่งนับเป็นพระญาติอันมากด้วยริษยาต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้นี้ทรยศหักหลังมิตร โดยนำเอาภิกษุบวชใหม่ในสำนักพระสารีบุตรไปเข้านิกายตน
ภิกษุทั้งหลายปรารภถึงพระเทวทัตในกรณี ที่ถูกทรณีสูบลงไปยังยมโลก
ภิกษุทั้งหลายปรารภถึงพระเทวทัตในกรณีที่ถูกทรณีสูบลงไปยังยมโลก
    นับเป็นการแบ่งแยกหมู่สงฆ์ซึ่งเป็นอุกฤษโทษ เทวทัตผู้ล่วงเกินต่อมหาบุรุษแห่งพุทธะ ซึ่งเป็นหนึ่งไม่มีผู้เสมอเหมือน เคยรุ่งเรืองอยู่ในพระราชูปถัมภ์ของอชาตศัตรูที่มคธรัฐ “สักวันเถอะ เราจะต้องยิ่งใหญ่แทนพระพุทธเจ้าให้ได้ ทุกคนจะต้องนับถือเราไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าองค์พระศาสดา”
พระเทวทัตตั้งใจว่าจะยิ่งใหญ่แทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระเทวทัตตั้งใจว่าจะยิ่งใหญ่แทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
     เถระผู้นี้กระทำเหตุชั่วช้าเพราะมีกิเลสกำกับกายใจ ข้อธรรมใดๆ ที่สั่งสอนศิษย์ตนในคยาสีสะวิหารจึงล้วนทำลายศีลและข้อวินัยอันดีของพระพุทธศาสดาอยู่มิได้ขาด “ภิกษุทั้งหลายจงฟังเรา อันชื่อเสียงเกียรติยศเป็นสิ่งที่เราพึงมี ยิ่งมีคนนับถือเรามากเท่าไหร่ เราก็จะมีความสุขในธรรมมากเท่านั้น
พระเทวทัตได้ทำลายศีลและข้อวินัยอันดี ของพระพุทธศาสดา
พระเทวทัตได้ทำลายศีลและข้อวินัยอันดีของพระพุทธศาสดา
    การทุศีลกล่าวคำสอนถ้อยผิดของพระเทวทัตครั้งนั้น พระผู้พิชิตมารทรงตรัสปัณทรกชาดก อธิบายแก่เหล่าภิกษุในธรรมสภาพระเชตะวันวาระนั้นว่า  “ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเทวทัตใช่จะทรยศต่อมิตรในชาตินี้เท่านั้น อดีตในชาติภพเก่าก็เคยกระทำจนศีรษะแยกเป็น 7 เสี่ยงมาแล้ว
พระพุทธองค์ทรงตรัสเล่าปัณฑรกชาดก  
พระพุทธองค์ทรงตรัสเล่าปัณฑรกชาดก
    แล้วพระองค์ก็ทรงตรัสปัณทรกชาดกขึ้น กาลนั้นยังมีชาวสำเภาผู้หนึ่งรอดตายจากพายุมาได้เพียงลำพัง ต้องเกาะแผ่นไม้ลอยเข้าฝั่ง จนกระทั่งพบแผ่นดินใหม่ ที่ท่าน้ำเมืองกทัมพียะในวันหนึ่ง “โอ๊ย รอดตายแล้วเรา ฮะ ฮ้า ฮะ ฮ้า ดีใจจังเลย ในที่สุดก็เจอฝั่งจนได้ ฮ้า ฮะฮ้า” 
ชาวสำเภาผู้หนึ่งรอดชีวิตจากพายุต้องเกาะแผ่นไม้ ลอยเคว้งคว้างกลางทะเล   
ชาวสำเภาผู้หนึ่งรอดชีวิตจากพายุต้องเกาะแผ่นไม้ลอยเคว้งคว้างกลางทะเล
    ชาวเรือผู้นี้ขึ้นฝั่งมาในสภาพเปลือยล่อนจ้อน ไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์แม้สักผืนเดียว “โอ๊ย...หนาว หนาวเหลือเกิน หาต้นไม้โคนไม้หลบก่อนดีกว่าเรา เกิดใครมาเห็นเข้าข้าคงแย่แน่ๆ เลย” ชีเปลือยขึ้นบกมาได้ 2 วัน ก็ยังหาเสื้อผ้าใส่ไม่ได้ ต้องนุ่งลมห่มฟ้า เที่ยวหาผลไม้และไข่นกกินไปตามยถากรรม
ชาวสำเภาผู้รอดชีวิตมาถึงเกาะแห่งหนึ่งในสภาพที่เปลือยเปล่า
ชาวสำเภาผู้รอดชีวิตมาถึงเกาะแห่งหนึ่งในสภาพที่เปลือยเปล่า 
     “ทำไมไม่มีใครทิ้งเสื้อผ้าเก่าๆ ไว้ม้านั่งบ้างนะ เฮ่อ..ไม่กล้าไปไหนเลยเรา จะหาอะไรมาปิดก็ไม่มี โอ๊ย..อุตส่าห์รอดชีวิตมาได้ ต้องมาตายเพราะกลายเป็นชีเปลือยนั่งล่อนจ้อนเสียแล้วเรา...โอ๊ย” และแล้ววันหนึ่งก็มีคนมาพบชีเปลือยคนนี้เข้า เรื่องราวไม่ได้เลวร้ายดังที่ชาวเรือผู้นี้คิด
ชาวเรือได้อาศัยบริเวณชายหาดเป็นที่อยู่และที่กิน 
ชาวเรือได้อาศัยบริเวณชายหาดเป็นที่อยู่และที่กิน
    คนที่พบเห็นต่างคิดว่าเขาเป็นผู้ทรงศีล โอ้ว...นั่นผู้ทรงศีล ผู้ตัดกิเลสไม่ยึดติดแม้อาภรณ์เสื้อผ้าก็ไม่ปรารถนา น่าเลื่อมใสจริงๆ” “เร็วเข้าเถอะรีบนำอาหารถวายแก่ผูทรงศีลกันเถอะ”  จากจุดเริ่มต้นก็นำมาสู่การขยายความเชื่อถือศรัทธา การไม่มีเสื้อผ้าห่อหุ้มตัวได้กลายเป็นผู้สละกิเลส
ชาวบ้านเข้าใจผิดคิดว่าชายชาวเรือคือนักบวชผู้ทรงศีล 
ชาวบ้านเข้าใจผิดคิดว่าชายชาวเรือคือนักบวชผู้ทรงศีล
    กลายเป็นเหตุแห่งปัจจัยบูชามากมาย “เฮอะๆๆ โชคดีจังเลยเรา อยู่ๆ ก็มีลาภปาก ไม่เอาละเว้ยเสื้อผ้า แต่แหม...นั่งอย่างนี้นานๆ ก็เมื่อยเหมือนกันนะเนี่ย จะลุกไปไหนมาไหนไม่ได้เดี๋ยวไม่งาม” ยามที่ผู้คนชาวเมืองมากราบไหว้ นักบวชกำมะลอก็แสร้งทำสมถะ ไม่ยินดี แต่เมื่อลับหลังก็จะกลับกลายเป็นคนละคน
ชาวบ้านนำปัจจัยเครื่องสักการะมากราบขอพร นักบวชกำมะลอ
ชาวบ้านนำปัจจัยเครื่องสักการะมากราบขอพรนักบวชกำมะลอ
    “โอ๊ย..ไปกันซะที ทนหิวตั้งนาน ฮ่ำๆๆ ขาไก่ทอดนี่อร่อยจริงๆ แต่น่าจะมีน้ำจิ้มรสเด็ดๆ แซ่บๆ ติดมาด้วยก็ดีนะ....เสียดาย” ไม่ช้ากิตติศัพท์ของสมณะเปลือยก็เป็นที่รู้และศรัทธากันอย่างกว้างขวาง ผู้คนพากันมากราบไหว้ขอพรไม่ขาดสาย ชาวเมืองพากันเรียกสมณะเปลือยนี้ว่า กธัมพิละอเจโร บ้างก็เรียกว่า กัมพิลอเจลกะ
ลับหลังชาวบ้านนักบวชกำมะลอก็เปลี่ยนเป็นคน ตะกละตะกลามไม่สำรวม 
ลับหลังชาวบ้านนักบวชกำมะลอก็เปลี่ยนเป็นคนตะกละตะกลามไม่สำรวม
    “เอาละๆ ไม่ต้องแย่งกันหรอก ใครมาก่อนก็ต้องขอพรก่อน สองคนที่มาใหม่นั่นก็นั่งรอสักครู่เถอะพ่อเอ้ย...” “หึ...คิดจะมาแซงคิวเหรอ ชิชะ เจ้านี่” ในจำนวนนั้นก็ยังมีนาคราชตนหนึ่งซึ่งใฝ่ธรรมะและปรารถนาการหลุดพ้นในสังสารวัฏ ได้ปรากฏกายขึ้นใกล้ๆ โคนไม้ใหญ่ที่สมณะอาศัย  
ผู้คนมากราบไหว้และสนทนาธรรม กับนักบวชกำมะลอมากมาย
ผู้คนมากราบไหว้และสนทนาธรรมกับนักบวชกำมะลอมากมาย
    เพื่อมากราบไหว้สนทนาธรรม “วันนี้เข้าไปสนทนาธรรมกับผู้ทรงศีลต่อดีกว่า เมื่อวานคุยยังไม่จบเลย ธรรมะข้อนี้ชั่งเข้าใจอยาก ต้องไปปรึกษาแก่ผู้ทรงศีลยาวหน่อย พญานาคตนนี้คือ ปัณทรนาคราช อาศัยอยู่กับบริวารนาคอีกมากมายในมหาสมุทรไกลออกไป “นมัสการสมณะผู้เจริญ”
กิตติศัพท์ของสมณะเปลือยเป็นที่รู้และศรัทธา มีผู้คนมากราบไหว้มากมาย
กิตติศัพท์ของสมณะเปลือยเป็นที่รู้และศรัทธามีผู้คนมากราบไหว้มากมาย
    นักบวชปลอมเคยเดินทางค้าขายพบปะผู้คนมากมาย มีประสบการณ์เจรจามากมาย จนสามารถพูดให้น่านับถือได้ พญานาคจึงแวะเวียนมาหาบ่อยครั้ง “เชื่อเถอะสิ่งใดออกจากปากเรา สิ่งนั้นย่อมมาจากการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบทั้งสิ้น” “สาธุ เราจะเชื่อฟังคำพูดของท่าน”
ปัณทรนาคราชเป็นผู้หนึ่งที่มาสนทนาธรรมกับนักบวชกำมะลอ
ปัณทรนาคราชเป็นผู้หนึ่งที่มาสนทนาธรรมกับนักบวชกำมะลอ
    วันหนึ่งขณะที่พญานาคราชลากลับสู่ท้องทะเลของตน ได้สวนทางกับบุรุษร่างใหญ่ซึ่งแวะเข้ามาหาสมณะเปลือยเช่นกัน แค่เห็นหลังยังทำให้พญานาคปัณทรกะนาคราชสะท้านเยือกทั้งกาย เพราะนี่คือพญาครุฑผู้ครองผืนฟ้าและเป็นศัตรูร้ายของเหล่านาคนั่นเอง
พญานาคปัณทรกะขึ้นมาสนทนาธรรม กับนักบวชอย่างสม่ำเสมอ
พญานาคปัณทรกะขึ้นมาสนทนาธรรมกับนักบวชอย่างสม่ำเสมอ
    “เฮอะ คนผู้นี่เป็นใครกันนะ ทำไมเวลาเดินสวนกันแล้วเรารู้สึกสั่นสะท้านยังไงชอบกล” “เอ๊ะ..เมื่อกี้เป็นใครกันนะ ทำไมเรารู้สึกแปลกๆ เมื่อเดินผ่าน” สุบรรณราชหรือพญาครุฑตนนี้ได้รับการต้อนรับจากนักบวชปลอมอย่างดีเป็นพิเศษ จนพญาครุฑกล้าสอบถามความลับข้อสำคัญของเหล่านาคได้   
นักบวชกำมะลอมีประสบการณ์เจรจามากมาย จากการเดินทางค้าขาย
นักบวชกำมะลอมีประสบการณ์เจรจามากมายจากการเดินทางค้าขาย
    “จริงหรือที่ท่านผู้ทรงศีลรู้จักสนิทสนมกับเหล่านาคเป็นอย่างดี ถ้าอย่างนั้นนะ ท่านช่วยเราหน่อยเถอะ พวกครุฑอย่างเรานะ เมื่อจับนาคมักจะตกทะเลจมน้ำตายบ่อยครั้ง เราจึงอยากรู้ว่าทำอย่างไรจึงสามารถจับพญานาคได้อย่างปลอดภัย” “ได้ซิ เดี๋ยวเราจะถามความลับนี้จากพญานาคให้”
พญานาคปัณทรกะได้สนทนาธรรมกับ นักบวชกำมะลอตามปกติ  
พญานาคปัณทรกะได้สนทนาธรรมกับนักบวชกำมะลอตามปกติ
    “แล้วพญานาคจะบอกความลับนี้แก่ท่านรึ” “โอ๊ย..เรานี้ก็เป็นเหมือนครูบาอาจารย์เค้า ไม่เร็วไม่ช้าก็ต้องรู้ความลับนั้นแน่ๆ” “ถ้าอย่างนั้นก็ดีนะซี ต่อจากนี้ไปพวกเราครุฑก็สามารถจับพญานาคกินได้ตามสะดวก ไม่ต้องจมทะเลตายไปมากมายอีกต่อไปแล้ว” “วางใจเถอะพญานาคเค้าไว้วางใจเรา ท่านรอฟังข่างดีเถิด”
พญานาคปัณทรกะสวนทางกับพญาครุฑในขณะที่ เดินทางกลับจากการสนทนาธรรม
พญานาคปัณทรกะสวนทางกับพญาครุฑในขณะที่เดินทางกลับจากการสนทนาธรรม
    เมื่อสมณะเปลือยรับปากน่าเชื่อถือเช่นนั้น ประมุขแห่งเทือกสุบรรณก็ทะยานคืนร่างกลับไปสู่วิมานฉิมพลีเหนือสุเมรุมาสอย่างเปรมปรีและหายไปหลายวันเพื่อเปิดโอกาสให้พญานาคมาสนทนาธรรมได้ตามสะดวก “วันนี้มีความสุขจริงๆ เลย ต่อจากนี้ไปนะ ครุฑก็สามารถจับนาคกินได้อย่างปลอดภัย”
พญาครุฑสุบรรณราชมากราบสักการะ นักบวชกำมะลอ  
พญาครุฑสุบรรณราชมากราบสักการะนักบวชกำมะลอ
     ทุกครั้งเมื่อพญานาคขึ้นจากน้ำมาหานักบวชชีเปลือย ก็มักพูดหว่านล้อมถามความลับของเหล่านาค แต่ปัณทรกะ ก็ยังไม่ยอมบอก “ว่าอย่างไรละท่านพญานาค ท่านมีวิธีอย่างไรถึงทำให้เหล่าครุฑจมทะเลได้ เราอยากจะศึกษาไว้เผื่อเอาไว้พิจารณาเรื่องธรรม”
พญาครุฑสุบรรณราชเหิรเวหากลับสู่วิมารของตน  
พญาครุฑสุบรรณราชเหิรเวหากลับสู่วิมารของตน
    “ข้าแต่สมณะ เรื่องนี้เราคงบอกท่านไม่ได้ เนื่องจากเป็นความลับของเหล่านาค ขอท่านอย่าได้ถามเราเลย” “เราเข้าใจว่าเป็นความลับของเหล่านาค แต่เรื่องนี้เราสัญญาว่าจะไม่ไปบอกกับใคร ท่านได้โปรดบอกเราด้วยเถิด” “เมื่อท่านสัญญาอย่างนี้ เราจะบอกให้ก็ได้ แต่ท่านต้องรักษาสัญญานะ
นักบวชกำมะลอสอบถามความลับบางอย่างของนาคที่ตนอยากรู้
นักบวชกำมะลอสอบถามความลับบางอย่างของนาคที่ตนอยากรู้
     อย่าบอกใคร ความลับเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก หากเปิดเผยออกไปย่อมเท่ากับฆ่าตัวเองและเหล่าญาติทั้งหมดเลยทีเดียว” เพราะพญานาคเห็นแก่ผู้ทรงศีลความลับที่ครุฑอยากรู้ก็เลยเปิดเผยออกมา “ความลับนั้นก็คือ ก่อนที่พวกเราจะโผล่ขึ้นผิวน้ำนั้นได้กลืนเอาก้อนหินลงไปเพื่อถ่วงน้ำไว้
พญานาคกลืนหินลงไปในท้องก่อนที่จะโผล่พ้นผิวน้ำ 
พญานาคกลืนหินลงไปในท้องก่อนที่จะโผล่พ้นผิวน้ำ
    เมื่อพบเหล่าครุฑพวกเราจะถูกขบกัดแต่ทุกครั้งก็จะถูกครุฑจับได้ และครุฑก็จะจับส่วนศีรษะลากไปตามวิสัยนก แต่พวกครุฑก็ไม่อาจดึงเอานาคพ้นจากน้ำทะเลได้ เพราะหินในท้องถ่วงน้ำหนักไว้” “หึ..เก่งนักก็อุ้มขึ้นไปซิ ฮ้า..ฮ่าๆ” “โอ๊ย...หนักจังเลยโว๊ย”
ครุฑไม่สามารถดึงนาคพ้นจากผิวน้ำได้ เพราะหนักก้อนหินที่นาคกลืนลงไป 
ครุฑไม่สามารถดึงนาคพ้นจากผิวน้ำได้เพราะหนักก้อนหินที่นาคกลืนลงไป
    “อ้อ..อย่างนี้นี่เอง เมื่อบินไม่ไหวครุฑถึงได้จมน้ำตายกันบ่อยๆ เป็นอย่างที่พญาครุฑพูดไว้แท้ๆ” “ห๊า..ท่านว่าใครพูดไว้นะ” “อะ..เปล่าๆๆ เราเดาเหตุการณ์เอานะ เออ..พญานาคอย่าห่วงเลยนะความลับของมิตรสหายย่อมต้องเป็นความลับสุดยอด เรารู้อยู่ผู้เดียวแน่นอน”
พญาครุฑพึงพอใจอย่างยิ่งที่ได้ล่วงรู้ความลับของพญานาค
พญาครุฑพึงพอใจอย่างยิ่งที่ได้ล่วงรู้ความลับของพญานาค
    เมื่อพญาครุฑหวนกลับมาอีกครั้งความลับของเหล่านาคก็ไม่ลับอีกต่อไป “โอ้..เรื่องง่ายดายเช่นนี้เองรึ ถ้าอย่างงั้นนะ เราก็แค่จับนาคส่วนหางขึ้นไปก้อนหินเหล่านั้นก็จะไหลออกมาทางปากจนตัวเบา แล้วครุฑก็จะได้กินนาคสมใจอยาก หึๆๆ” มหาสุบรรณขอบคุณสมณะปลอมนั้น
พญาครุฑสุบรรณราชมองหาพญานาคปัณฑรกะ 
พญาครุฑสุบรรณราชมองหาพญานาคปัณฑรกะ
    แล้วเหิรเวหาด้วยฤทธิ์พญานก จากนั้นก็ออกค้นหาตัวพญานาคปัณทรกะทั่วมหาสมุทร “นั่นไง พบจนได้พญานาคผู้กลืนกินก้อนหิน ดูซิว่าครั้งนี้จะใช้แผนกลืนก้อนหินหลอกเราได้อีกหรือเปล่า ฮ่ะๆๆ” ครุฑโฉบเพียงครั้งเดียวก็จิกเอาลำตัวพญานาคไว้ในกรงเล็บได้
พญานาคปัณฑรกะถูกพญาครุฑจับได้
พญานาคปัณฑรกะถูกพญาครุฑจับได้
    ครั้งนี้ครุฑจับนาคที่หางแล้วเขย่าจนหินไหลร่วงจากปากจนหมด “โอ้..พญาครุฑทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร คงเป็นเพราะเราบอกความลับนี้แก่ผู้ทรงศีลแน่แท้ ไม่น่าเลย ภัยเกิดเพราะเราแท้หนอ หลงผิดไว้ใจนักบวชทุศีล คบคนชั่วเป็นสหาย” “อ่ะ..นักบวชนั่นนะ หลอกเอาความลับจากท่านรึ”
พญาครุฑสุบรรณราชปล่อยพญานาคปัณฑรกะ เพราะได้ยินคำรำพึงที่พูดถึงนักบวช
พญาครุฑสุบรรณราชปล่อยพญานาคปัณฑรกะเพราะได้ยินคำรำพึงที่พูดถึงนักบวช
    พญาครุฑได้ยินคำประณามก็ร่อนลงยังพื้นแผ่นดิน ปล่อยนาคราชเป็นอิสระ เพราะคุณธรรมและบารมีจากอดีตชาติ ทำให้คิดได้ถึงภัยจากการทรยศต่อมิตรว่าอันตรายกว่าภัยของศัตรู “เราไม่ถามเรื่องนี้กับนักบวชเลย ถ้าเราทำร้ายท่าน ก็ถือว่าเราไร้คุณธรรม เราทำไม่ได้หรอก”
พญานาคปัณฑรกะเล่าเรื่องที่ตนบอกความลับ แก่นักบวชกำมะลอต่อพญาครุฑ
พญานาคปัณฑรกะเล่าเรื่องที่ตนบอกความลับแก่นักบวชกำมะลอต่อพญาครุฑ
    “ข้าแต่พญาสุบรรณ เราหลงผิดบอกความลับต่อผู้ทุศีลประทุษร้าย แต่ท่านเป็นอริกลับมีเมตตา ต่อแต่นี้ไปจงคิดต่อเราเสมอบุตรเถิด” ปัณทรกะนาคราชคืนร่างเป็นมนุษย์เข้าอัญชลีต่อพญาครุฑแล้วปวารนาไม่ทรยศและไม่กระทำเนรคุณเป็นอันมั่นคง
พญาครุฑสุบรรณราชและพญานาคปัณฑรกะ เดินทางมาหานักบวชกำมะลอ
พญาครุฑสุบรรณราชและพญานาคปัณฑรกะเดินทางมาหานักบวชกำมะลอ
    “จากนี้ไปเหล่านาคจะไม่คิดร้าย ประทุษร้ายต่อเหล่าครุฑ เราขอสัญญา” “เอาเถอะเมื่อเป็นเช่นนี้ เหล่าครุฑก็จะไม่ทำร้ายนาคเช่นกัน แต่สำหรับผู้ไม่ซื่อต่อมิตร โดยเฉพาะมิตรผู้มีคุณ ย่อมประสบความเสื่อม พบแต่ความฉิบหาย มิอาจเป็นสุขได้ ท่านกับเรากลับไปหาสมณะกัมพิลอเจลกะผู้ตระบัติสัตย์นั่นกันเถอ”
พญานาคปัณฑรกะได้กล่าวคำสาปแก่นักบวชกำมะลอ
พญานาคปัณฑรกะได้กล่าวคำสาปแก่นักบวชกำมะลอ
    อรุณรุ่งอีกวันสมณะผู้หักหลังมิตรก็ตกใจแทบสิ้นสติที่เห็นพญาครุฑเจ้าเวหาเคียงคู่มากับพญานาคเจ้าสมุทร “อ่ะๆๆ..อ้าว รู้จักกันเหรอเนี่ย ตายๆๆ ตายแน่เรา คราวนี้ซวยแน่ๆ เลย ไม่น่าเลย” “ว่าไงผู้ทรยศเอ๋ย ในเมื่อท่านผิดคำสัญญา ก็ขอให้สมองอันฉ้อฉลของท่านจงแยกออกเป็น 7 ส่วนเถิด”
สิ้นคำสาปนักบวชกำมะลอก็ได้รับความเจ็บปวดจนสิ้นใจ
สิ้นคำสาปนักบวชกำมะลอก็ได้รับความเจ็บปวดจนสิ้นใจ
    สิ้นคำสาปของนาคราช ชีเปลือยก็ดิ้นพล่าน โลหิตไหลออกทั้ง 9 ทวาร ดวงปราณดับ ดวงจิตดิ่งลงอเวจีมหานรกให้กรรมต่อไป “โอ๊ยปวดๆๆ ปวดเหลือเกิน โอ๊ยๆๆๆ...อ๊ากๆๆ..”
ในพุทธกาลสมัยนั้น สมณะเปลือยกำเนิดเป็น พระเทวทัต
ปัณฑรนาคราช กำเนิดเป็น พระสารีบุตร
พญาครุฑ เสวยพระชาติเป็น พระพุทธเจ้า

http://dmc.tv/a11287