วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557

อปัณณกธรรมชาดก-ชาดกว่าด้วยข้อปฏิบัติเพื่อป้องกันความผิดพลาด


พ่อค้าผู้ยึดถือ อปัณณกธรรม 3 ข้อ ใช้ในชีวิตประจำวัน
  
    อปัณณกธรรมชาดก เป็นนิทานชาดกที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสไว้กับอนาถบิณฑิกเศรษฐีและสาวกของอัญญเดียรถีย์ 500_คน ณ เชตวันมหาวิหาร นครสาวัตถี เนื่องด้วยอัญญเดียรถีย์เหล่านี้ล้วนเป็นคนกลับกลอก พอฟังธรรมก็เกิดศรัทธาประกาศตนเป็นพุทธมามกะ
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสอปัณณกธรรม กับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
 
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสอปัณณกธรรม กับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
 
    แต่พอพระพุทธศาสดาเสด็จจากไป ก็หันกลับไปนับถือลัทธิเดิมกันทั้งหมดสิ้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงระลึกชาติแต่หนหลังและพบว่า ในกาลก่อนนั้น มนุษย์ทั้งหลายนี้เคยถือเอาสิ่งที่มิใช่สรณะ มาเป็นสรณะโดยอาศัยการคาดคะเนถือเอาผิดๆ จึงถึงให้เกิดการพินาศใหญ่หลวงมาแล้ว และพระองค์ก็ทรงเล่าเรื่องราวในกาลนั้นให้ฟัง
 
สาวกของอัญญเดียรถีย์ 500คน ณ เชตวันมหาวิหารนครสาวัตถี
 
สาวกของอัญญเดียรถีย์ 500 คน ณ เชตวันมหาวิหารนครสาวัตถี
 
    ณ กรุงพาราณสี มีพ่อค้ารายใหญ่อยู่สองคน ซึ่งทั้งสองต่างมีอุปนิสัยที่ต่างกันราวฟ้ากับดิน พ่อค้าคนที่ 1 มีนิสัยเจ้าอารมณ์ หูเบา เชื่อคนง่าย ขาดสติพิจารณา “เฮ้ย! นาย ผู้หญิงคนเนี่ยสุดยอด เก่งทั้งงานบ้าน งานเรือน นายเอาไปใช้สอยทำงานที่บ้านสิ คุ้มค่าคุ้มราคา นาย”
               
พ่อค้ารายใหญ่ ณ กรุงพาราณสี
 
พ่อค้ารายใหญ่ ณ กรุงพาราณสี
  
    “แหม... นายจ้างรูปหล่อ เท่ห์ สมาร์ทขนาดเนี้ยะ ดิฉันจะรับใช้อย่างเต็มที่เลยค่ะ” “ฮึๆๆๆ ข้าก็หล่ออย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ เจ้าเนี่ยเข้าใจพูด เอาล่ะข้ารับไว้ทำงานก็แล้วกัน” “หึ! ไม่น่ารับมาทำงานเลย กลายเป็นนางนกต่อซะได้ พาโจรขึ้นบ้านแท้ๆ เลยเรา” “สาวใช้คนนั้นมันพาคนมาขโมยสมบัติของเจ้านายไปตั้งเยอะแน่ะ”
 
พ่อค้าคนที่ 1 ถูกสาวใช้คนใหม่ขโมยสมบัติ
 
พ่อค้าคนที่ 1 ถูกสาวใช้คนใหม่ขโมยสมบัติ
 
    “ข้าว่าและ ดูแผล๊บเดียวก็รู้ ผู้หญิงจริตอย่างนั้นน่ะ หึ! สวยซะเปล่า เป็นโจรไปซะได้ เซ็ง! อุตส่าห์จะขอเป็นแฟนซะหน่อย” ส่วนพ่อค้าอีกคนกลับชอบใฝ่หาความรู้ ช่างสังเกตและยึดถือ อปัณณกธรรม 3_ข้อ เป็นธรรมะประจำใจ
 
พ่อค้าคนที่ 2 ผู้ยึดถืออปัณณกธรรม 3 ข้อ
 
พ่อค้าคนที่ 2 ผู้ยึดถืออปัณณกธรรม 3 ข้อ
  
    ข้อที่ 1 คือการป้องกันตน มิให้มัวเมา ในรูป รส กลิ่น เสียง อินทรีย์สังวรณ์ “นายวาณิช หันมามองข้าสักนิดซิคะ ข้าจะร่ายรำให้ท่านดู” “หันมาสนใจข้าดีกว่า สาวสวยกว่าตั้งเยอะ” “อย่ามายั่วยวนข้าซะให้ยากเลย ข้ารู้หรอกนะว่าพวกเจ้านะ จะล่อลวงเอาเงินจากข้า ฮึๆๆๆ”
 
 อปัณณกธรรมข้อที่ 1 คือการป้องกันตนมิให้มัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง อินทรีย์สังวรณ์
 
 อปัณณกธรรมข้อที่ 1 คือการป้องกันตนมิให้มัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง อินทรีย์สังวรณ์
  
    อปัณณกธรรม ข้อ 2 คือการเตรียมป้องกันมิให้เกิดโทษจากการกิน ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเครื่องดื่ม โภชเนมัตตัญญุตา “แหวะ ไม่น่ากินเยอะเลยตู โอ้ย เหล้าอะไรเนี่ย แรงจริงๆ เลย” “เหอะๆ ฮ่าๆๆ เจ้านี้มันคออ่อนแล้วยังไม่รู้สภาพตัวเองอีก”
 
อปัณณกธรรม ข้อ 2 คือการเตรียมป้องกัน มิให้เกิดโทษจากการกิน
 
 อปัณณกธรรม ข้อ 2 คือการเตรียมป้องกันมิให้เกิดโทษจากการกิน
 
    อปัณณกธรรม ข้อ 3 คือเตรียมป้องกันมิให้เกียจคร้านละเลยหน้าที่ชาคริยานุโยค “โอ้ย...ง่วง นอนดีกว่า วันนี้หยุด ขี้เกียจ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่”นอกจากตนจะตั้งอยู่ในอปัณณกธรรม 3_ประการนี้แล้ว พ่อค้าผู้นี้ยังอบรมบริวารให้ปฏิบัติตามและยึดธรรมนี้ไว้ในใจเช่นกัน
 
อปัณณกธรรม ข้อ 3 คือเตรียมป้องกันมิให้ เกียจคร้านละเลยหน้าที่
 
อปัณณกธรรม ข้อ 3 คือเตรียมป้องกันมิให้เกียจคร้านละเลยหน้าที่
   
    “โอ้! ช่างเป็นหลักธรรมที่ดีจริงๆ มี 3 ข้อเอง สั้น กระชับ ฉับไว” “นายจ้างของเราช่างเป็นเจ้านายที่รอบรู้โดยแท้ มิเสียแรงที่เรามาทำงานด้วย” อยู่มาคราวหนึ่งพ่อค้าทั้งสองต่างคิดจะเดินทางข้ามทะเลทราย เพื่อไปค้าขายยังเมืองเดียวกัน แต่เส้นทางนี้แห้งแล้งมาก
 
พ่อค้าทั้งสองคุยกันเรื่องไปค้าขายยังต่างเมือง
 
พ่อค้าทั้งสองคุยกันเรื่องไปค้าขายยังต่างเมือง
 
    อาหาร น้ำและหญ้าระหว่างทางก็ขาดแคลนไม่พอเพียงสำหรับคนและโค พ่อค้าทั้งสองจึงไม่สามารถร่วมเดินทางไปพร้อมกันได้ “หึๆๆ...เราเดินทางกันไปก่อนดีกว่า หนทางยังราบเรียบไม่ถูกเหยียบย่ำให้แตกเป็นฝุ่น หญ้าเลี้ยงโคก็เต็มที่ ยังไม่มีใครแตะต้องพืชผักผลไม้ก็ยังบริบูรณ์อยู่ทั้งสองข้างทาง
 
พ่อค้าคนแรกตัดสินใจที่จะเดินทางไปค้าขายก่อน
 
พ่อค้าคนแรกตัดสินใจที่จะเดินทางไปค้าขายก่อน
  
    น้ำตามทางยังใสสะอาดอยู่ น่าดื่มกิน ที่สำคัญสินค้าก็ยังสามารถตั้งราคาได้ตามใจชอบ เหอะๆ ไปก่อนรวยก่อนนะโว้ย ฮ่าๆๆๆ” “ฮิๆๆๆ คราวนี้ต้องได้เงินมาเพียบแน่ๆ” “ที่ได้เงินมาเพียบน่ะ ของนายจ้างเขาทั้งนั้นแหละ แกก็ได้ค่าแรงเท่าเดิม แกจะดีใจไปทำไมวะ”
 
พ่อค้าคนที่ 2 ได้ร่ำลาพ่อค้าคนแรก
 
พ่อค้าคนที่ 2 ได้ร่ำลาพ่อค้าคนแรก
 
    “เราไปทีหลังดีกว่า หนทางที่ขรุขระจะได้ราบเรียบสม่ำเสมอ เพราะคนชุดก่อนถากถางไว้แล้ว ส่วนหญ้าเลี้ยงโคก็จะงอกขึ้นมาใหม่อ่อนกำลังดี พืชผักชุดแรกที่คนตัดกินไปก็จะแตกยอดขึ้นมาใหม่ อ่อนกำลังน่ารับประทาน ในบริเวณที่ไม่มีน้ำ คนชุดแรกก็ต้องขุดบ่อน้ำเอาไว้แล้ว
 
พ่อค้าคนแรกเคลื่อนขบวนออกเดินทางไปยังต่างเมือง
 
พ่อค้าคนแรกเคลื่อนขบวนออกเดินทางไปยังต่างเมือง
 
    เรื่องราคาสินค้าก็ตั้งตามพ่อค้าชุดแรกเลยล่ะกัน คงไม่มีปัญหาอะไร” เมื่อถึงเวลาเดินทาง พ่อค้าผู้ขาดสติจึงจัดคนออกเดินทางพร้อมขบวนสินค้า และเสบียงและน้ำสำหรับระยะทางกันดารถึง 60_โยชน์ “เอ้า! พวกเราเร็วเข้า เดินทางกันได้แล้ว” เดินทางเข้าวันที่ 7 กองเดินทางของพ่อค้าคนที่ 1 ก็เข้าไปในเขตยักษ์กินคน
 
กองเกวียนของพ่อค้าคนที่ 1 ผ่านเข้าไปในเขตยักษ์กินคน
 
กองเกวียนของพ่อค้าคนที่ 1 ผ่านเข้าไปในเขตยักษ์กินคน
  
    “เฮ้ย! เจ้าพวกมนุษย์มากันแล้วเว้ย หิวท้องกิ่วมาหลายวัน คราวนี้จะกินเนื้อให้อิ่มแปล้เลย” “เหอะๆ ใจเย็นไว้ ปล่อยให้พวกมันชะล่าใจไปก่อน พวกนี้มันไม่ระมัดระวังตัวกันหรอก เสร็จเราแน่” ยักษ์เหล่านี้มีอยู่แค่ 20_ตน มันจึงไม่กล้าต่อกรกับคนถึง 500_คน
 
พวกยักษ์จำแลงกายเป็นคน เคลื่อนขบวนสวนทางกับพ่อค้า
 
พวกยักษ์จำแลงกายเป็นคน เคลื่อนขบวนสวนทางกับพ่อค้า
 
    พวกมันจึงวางแผนล่อลวงเพื่อหลอกกินเนื้อมนุษย์เหล่านี้ พวกยักษ์จำแลงกายเป็นคนนั่งรถเทียมด้วยโคขาว สวนทางมา บนล้อมีโคลนติดหนาเตอะเหมือนเพิ่งเดินทางฝ่าสายฝนที่ตกหนักมาใหม่ๆ แต่ละคนท่าทางแข็งกระด้าง กำแหงหาญเคี้ยวกินเง่าบัวอย่างเอร็ดอร่อย
 
พวกยักษ์จำแลงหลอกพ่อค้าว่าเส้นทางข้างหน้าอุดมสมบูรณ์
 
พวกยักษ์จำแลงหลอกพ่อค้าว่าเส้นทางข้างหน้าอุดมสมบูรณ์
  
    ทำทีให้รู้ว่า สองข้างทางที่พวกเขาผ่านมานั้น มีห้วยหนองคลองบึงเต็มไปหมด “ท่านวาณิช ท่านจะทนขนน้ำไปให้หนักทำไม ข้างหน้ามีห้วยหนองคลองบึงตลอดทาง พวกข้ายังว่ายไปเก็บฝักบัวมากินกันเลย” “อ่า จริงหรือท่าน” พ่อค้าหูเบาได้ฟังดังนั้นก็หลงเชื่อสั่งลูกน้องให้เทน้ำทิ้ง
 
กลุ่มขบวนพ่อค้าต่างหิวกระหายน้ำและอาหาร
 
กลุ่มขบวนพ่อค้าต่างหิวกระหายน้ำและอาหาร
 
    หวังสะดวกสบายไม่ต้องแบกของหนัก แต่เขาไม่สังเกตเลยสักนิดว่า บุคคลเหล่านี้มีท่าทางแข็งกร้าว ห้าวหาญ ในตาแดง แม้ยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดดก็ไม่มีเงาปรากฏ ผิดมนุษย์ กลุ่มขบวนการพ่อค้าเดินทางไปตลอดวันจะหาน้ำสักหยดก็ไม่พบ ครั้นตกเย็นก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรง หิวโหย อดทั้งข้าวและน้ำ ทั้งคนและโคก็สลบไสล
 
ทั้งคนและโคกลายเป็นอาหารอันโอชะของยักษ์
 
ทั้งคนและโคกลายเป็นอาหารอันโอชะของยักษ์
 
    พ่อค้าผู้ขาดสติพาบริวารสู่หายนะเสียแล้ว “โอ่ย! หิวน้ำ เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ข้าวปลาก็ไม่มีกิน” “ทรมานเหลือเกิน ข้าไม่มีเรี่ยวแรงเดินแล้ว”“ไม่มีแรงเดินแล้ว น้ำก็ไม่เหลือสักหยด โอ้ย!” ทั้งคนและโค เมื่อหมดเรี่ยวแรงก็กลายเป็นอาหารอันโอชะของยักษ์ในค่ำคืนนั่นเอง
 
พ่อค้าคนที่ 2 ออกเดินทาง โดยใช้เส้นทางตามพ่อค้าคนที่ 1
 
พ่อค้าคนที่ 2 ออกเดินทาง โดยใช้เส้นทางตามพ่อค้าคนที่ 1
 
    “ฮ่าๆๆๆ เจ้าพวกมนุษย์หน้าโง่ หลงกลแผนเราจนได้ ฮ่าๆๆๆ เอาเนื้อหวาน ๆ ของเจ้ามาให้ข้ากินซะดีๆ เสร็จเราแน่ หิวท้องกิ่วมาหลายวัน คราวนี้จะกินให้อิ่มแปล้เลย ให้ข้ากินซะดีๆ”  “ไอ้พวกมนุษย์หน้าโง่ ฮ่าๆๆๆ” จุดจบอันหายนะของเหล่าวาณิชผู้ขาดสติ ล้วนเกิดจากผู้นำขาดหลักธรรม อปัณณกธรรมโดยแท้
 
ยักษ์กินคนหลอกพ่อค้าคนที่ 2 แบบเดียวกับพ่อค้าคนที่ 1
 
ยักษ์กินคนหลอกพ่อค้าคนที่ 2 แบบเดียวกับพ่อค้าคนที่ 1
 
    หลายวันต่อมานายวาณิชผู้ยึดหลักธรรม อปัณณกธรรม อยู่ในใจ ก็นำกองเกวียนออกเดินทางรอนแรมมาจนล่วงเข้าเขตทะเลทราย “เอ้า! พวกเราหยุดพักกันตรงนี้ก่อน ทางข้างหน้าเป็นทะเลทราย พวกเราต้องใช้ความระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ” นายวาณิชประชุมกับลูกน้องให้ทุกคนปฏิบัติ อปัณณกธรรม โดยเคร่งครัด
 
เวรยามเฝ้าระวังอย่างเคร่งครัด
 
เวรยามเฝ้าระวังอย่างเคร่งครัด
 
    เมื่อกองคาราวานเคลื่อนเข้าสู่แดนอันตราย พวกยักษ์กินคนก็แสร้งทำเป็นคณะเดินทางผ่านมาเช่นเดิม ทำอุบายหลอกล่อเหมือนเช่นตอนหลอกพ่อค้าคนแรก “พวกท่านจะขนน้ำไปให้หนักทำไม ข้างหน้าฝนตกชุ่มฉ่ำ มีลำน้ำห้วยหนองมากมาย ไม่ต้องกลัวขาดน้ำหรอก” “ข้าไม่เชื่อหรอก คนพวกเนี่ย มีลักษณะรูปร่างแปลกๆ เหมือนไม่ใช่มนุษย์”
 
ยักษ์กินคนเฝ้าสังเกตุกลุ่มมนุษย์ตลอดเวลา
 
ยักษ์กินคนเฝ้าสังเกตุกลุ่มมนุษย์ตลอดเวลา
 
    คิดได้ดังนั้น นายวาณิชก็กล่าวเตือนกับลูกน้องไม่ให้หลงเชื่อ และให้เหตุผลประกอบ “หากทางข้างหน้าฝนตก ลมฝนต้องพัดเอาความชุ่มชื้นไปทั่วระยะ 3 โยชน์ ฟ้าก็ย่อมแล่บ เห็นแสงสว่างไกลเป็น 2_เท่า เมฆดำก็ต้องก่อตัวเหนือพื้นโลกบริเวณนั้น เสียงฟ้าร้องก็ต้องปรากฏให้ได้ยินบ้าง
 
พ่อค้าคนที่ 2 นำขบวนเดินทางผ่านเขตยักษ์กินคนไปอย่างปลอดภัย
 
พ่อค้าคนที่ 2 นำขบวนเดินทางผ่านเขตยักษ์กินคนไปอย่างปลอดภัย
 
    แต่ทุกท่านสังเกตเถิดสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเลย ฉะนั้นสิ่งที่พวกนั้นพูด พวกเราไม่สามารถเชื่อได้เลย” นายวาณิชไม่หลงเชื่อกลอุบายนั้น ยังคงสั่งให้คณะเดินทางต่อไป พร้อมทั้งกำชับให้ประหยัดน้ำเพิ่มขึ้นจากเดิมอีก ย่ำค่ำจนรุ่งสางทุกคืนก็ยังรักษาวินัยจัดเวรยามระมัดระวังอันตรายโดยไม่ประมาท
               
พ่อค้าคนที่ 2 สามารถขายสินค้าได้กำไรถึงสองเท่า
 
พ่อค้าคนที่ 2 สามารถขายสินค้าได้กำไรถึงสองเท่า
  
    “บัดซบที่สุด! คนพวกนี้มันระมัดระวังตัวกันจัง หิวโว้ยหิว แล้วจะกินเจ้าพวกนี้มันยังไงกันว่ะเนี่ย มันระวังตัวกันขนาดนี้”  “เซ็งเลยตู อดกินจนได้”และแล้วขบวนคาราวานของนายวาณิชก็พ้นผ่านเขตแดนยักษ์กินคนมาได้อย่างปลอดภัย และสามารถขายสินค้าได้ราคางามถึงสองเท่า
 
พ่อค้าคนที่ 2 นำกองคาราวานกลับพาราณสี อย่างปลอดภัยด้วยหลักอปัณณกธรรม
 
พ่อค้าคนที่ 2 นำกองคาราวานกลับพาราณสีอย่างปลอดภัยด้วยหลักอปัณณกธรรม
  
    นำกำไรเดินทางกลับไปยังพาราณสีโดยหลักธรรม อปัณณกธรรมคุ้มครองชีวิต นับแต่นั้นมาบริวารทั้ง 500_คน ก็นำเอา อปัณณกธรรม มาป้องกันความผิดพลาดในการดำเนินชีวิต ปฏิบัติตัวเป็นผู้มีสติมีเหตุผล รู้คุณ รู้โทษ ไม่ตัดสินสิ่งใดโดยคาดคะเนอีกต่อไป
 
 
คาถาประจำชาดก
อาปัณณะกะฐานะเมเก ทุติยัง อาหุ ตักกิกา
เอตะทัญญายะ เมธาวี ตัง คัณเห ยะทะปัณณะกัง
 
การตัดสินใจโดยการถือวิธีการคาดคะเนเดาเอา จัดว่าถือผิด
ควรถือตามเหตุผลเป็นจริง จึงจัดว่าถูก
สิ่งใดไม่ผิดผู้เป็นบัณฑิตย่อมถือสิ่งนั้น