วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2557

จุลลกเศรษฐี-ชาดกว่าด้วยความฉลาดในการสร้างฐานะ


 มานพหนุ่มผู้มีปัญญาในการสร้างฐานะและได้แต่งงานกับธิดาจุลลกเศรษฐี
 
    ในสมัยพุทธกาลขณะที่องค์พระบรมศาสดาทรงสอดส่องพระพุทธญาณ ณ วัดชีวกัมพวัณ กรุงราชคฤห์เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ผู้ตกทุกข์ดังที่ทรงบำเพ็ญอยู่เป็นนิจ พลันสายพระเนตรทรงเห็นภิกษุหนุ่มจุลลปัณฐกะที่ท้อถอยสิ้นความเพียร เนื่องด้วยมีสติปัญญาทึบ
 
ภิกษุหนุ่มจุลลปัณฐกะ ที่ท้อถอยสิ้นความเพียร เนื่องด้วยมีสติปัญญาทึบ
 
ภิกษุหนุ่มจุลลปัณฐกะที่ท้อถอยสิ้นความเพียร เนื่องด้วยมีสติปัญญาทึบ
 
    “เฮ้อ..ทำไมเราถึงได้ด้อยปัญญาเช่นนี้นะ ไม่บรรลุธรรมซะที สึกซะดีกว่า”  พระพุทธองค์จึงทรงเสด็จไปรอภิกษุองค์นี้ที่ซุ้มประตูวัด เทศนาสั่งสอนแล้วทรงเนรมิตผ้าขาวให้ผืนหนึ่ง “เจ้าจงบริกรรมภาวนาและลูบคลำผ้าขาวนี้อย่าได้ว่างเว้น”
 
พระพุทธองค์ทรงเสด็จไปโปรดภิกษุ จุลลปัณฐกะที่ซุ้มประตูวัด
 
พระพุทธองค์ทรงเสด็จไปโปรดภิกษุจุลลปัณฐกะที่ซุ้มประตูวัด
 
    จากนั้นพระพุทธองค์ก็เสด็จจากไปทิ้งพระหนุ่มไว้ผู้เดียว ภิกษุหนุ่มได้เจริญภาวนาและลูบคลำผ้าขาวตามคำสั่งของพระพุทธองค์ได้มิว่างเว้น มิช้านานผ้าขาวนั้นก็คล้ำมอ พระหนุ่มจึงเกิดความคิด “สังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้สัมผัสแต่สิ่งสกปรก ฮ้า..”
 
ภิกษุหนุ่มได้เจริญภาวนาและลูบคลำผ้าขาว ตามคำสั่งของพระพุทธองค์
 
ภิกษุหนุ่มได้เจริญภาวนาและลูบคลำผ้าขาวตามคำสั่งของพระพุทธองค์
 
    วาระนั้นพระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยพระญาณจึงเปล่งพุทธวาจากับภิกษุหนุ่มได้ยินดุจประทับตรงหน้า “ผ้านั้นเศร้าหมองด้วยธุลีฉันใด ใจของคนเราก็ฉันนั้น เจ้าจงชำระธุลีแห่งจิตใจ คือราคะ โทสะ โมหะ ทั้ง 3_ประการนี้ออกเสียให้สิ้นเถิด”
 
ทั่วสังฆมณฑลกล่าวขานพระคุณ ของพระพุทธองค์กันถ้วนหน้า
 
ทั่วสังฆมณฑลกล่าวขานพระคุณของพระพุทธองค์กันถ้วนหน้า
 
    รุ่งขึ้นสังฆมณฑลก็ขานพระคุณพระพุทธองค์กันถ้วนหน้า ด้วยเหตุที่เปลี่ยนพระปัญญาทึบให้บรรลุธรรมได้ชั่วยามหนึ่ง “ในกาลอดีตตถาคตก็เคยช่วยเขาให้เกิดปัญญาสร้างฐานะมาแล้ว เดี่ยวเราจะเล่าให้ฟัง ย้อนไปในอดีตกาลกรุงพาราณสีที่รุ่งเรืองและคับคั่งไปด้วยการค้าพาณิชย์
 
กรุงพาราณสีที่รุ่งเรืองและคับคั่ง ไปด้วยการค้าพาณิชย์
 
กรุงพาราณสีที่รุ่งเรืองและคับคั่งไปด้วยการค้าพาณิชย์
 
    กล่าวกันว่ากรวดทรายกลางถนน ณ ที่แห่งนี้ดุจทองคำและอัญมณีหากใครจะมีปัญญาหยิบเอาไป เศรษฐีผู้หนึ่งนามจุลลกะท่านเป็นบัณฑิตผู้คาดการใดไม่เคยพลาด ด้วยความสามารถในวิชานิมิตพยากรณ์ วันหนึ่งท่านเศรษฐีผู้นี้ได้นั่งรถม้าผ่านกลางใจเมืองเห็นหนูตายอยู่บนพื้นตัวหนึ่ง
 
จุลลกะเศรษฐีผู้เป็นบัณฑิต คาดการสิ่งใดไม่เคยพลาด
 
จุลลกะเศรษฐีผู้เป็นบัณฑิตคาดการสิ่งใดไม่เคยพลาด
 
ท่านพินิจดูแล้วก็ทำนายออกมา “หากใครมีปัญญาย่อมสามารถนำหนูตายนี้ไปเป็นทุนให้เจริญรุ่งเรื่องได้” มานพหนุ่มคนหนึ่งได้ยินคำที่เศรษฐีบัณฑิตกล่าว ด้วยความศรัทธาจึงเก็บหนูตายนั้นไว้ แล้วเขาก็พบกับป้าใจบุญคนหนึ่ง “พ่อหนุ่มหนูตายตัวนั้นนะ ป้าขอซื้อได้มั๊ย ป้าจะเอาไปให้แมวป้ากิน” “ด้วยความยินดีจ๊ะป้า”
 
ซากหนูตายบนพื้นถนน
 
ซากหนูตายบนพื้นถนน
 
    แล้วมานพหนุ่มก็ได้เงินมา 1 กากนึก จากซากหนูตาย ซึ่งเป็นเงินเพียงน้อยนิดเหลือเกิน จากนั้นเขาก็นำเงินที่ได้ไปซื้อน้ำอ้อยจากไร่เพื่อมาไว้บริการคนเก็บดอกไม้ที่กลับมาจากป่า “ท่านกลับมาจากการเก็บดอกไม้คงเหน็ดเหนื่อยกันแล้ว ดื่มน้ำอ้อยให้ชื่นใจเถิด”
 
มานพหนุ่มเก็บซากหนูตาย และได้ขายต่อให้หญิงผู้เลี้ยงแมว
 
มานพหนุ่มเก็บซากหนูตายและได้ขายต่อให้หญิงผู้เลี้ยงแมว
 
"โอ้ว ชื่นใจเหลือเกิน เจ้าเอาดอกไม้เนี่ยไปเป็นการตอบแทนน้ำใจที่เจ้ามีต่อพวกเราแล้วกัน” ชายหนุ่มนำดอกไม้ที่ได้ไปขาย พอได้เงินมาวันรุ่งขึ้นเขาก็นำเงินไปซื้อน้ำอ้อยอีก ครั้งนี้เขาลงทุนนำเข้าไปบริการถึงในป่า ซึ่งทำให้เขาได้ดอกไม้มามากยิ่งขึ้น
 
มานพหนุ่มซื้อน้ำอ้อย จากไร่เพื่อมาไว้บริการ คนเก็บดอกไม้ที่กลับมาจากป่า
 
มานพหนุ่มซื้อน้ำอ้อยจากไร่เพื่อมาไว้บริการคนเก็บดอกไม้ที่กลับมาจากป่า
 
    ชายหนุ่มปฏิบัติเช่นนี้อยู่ทุกวัน จนกระทั่งวันหนึ่งในต้นฤดูฝนพายุพัดแรงจนกิ่งไม้หักโค่นเกลื่อนอุทยาน มานพหนุ่มจึงใช้ปัญญาที่ชาญฉลาดอาสาขนกิ่งไม้เหล่านั้นออกมา “อ้าว เด็กๆ มาช่วยชั้นขนกิ่งไม้เหล่านี้หน่อยแล้วจะให้น้ำอ้อยเป็นรางวัล” “เย้ ช่วยกันขนเร็วพวกเราจะได้กินน้ำอ้อยให้ชื่นใจไปเลย ขนๆๆๆ”
 
นพหนุ่มซื้อน้ำอ้อยเข้าไป บริการคนเก็บดอกไม้ถึงในป่า
 
มานพหนุ่มซื้อน้ำอ้อยเข้าไปบริการคนเก็บดอกไม้ถึงในป่า
 
    มานพหนุ่มนำกิ่งไม้เหล่านั้นไปขายเป็นฟืนให้กับชายปั้นหม้อ ซึ่งครั้งนี้เขาได้เงินถึง 16 กหาปณะ กับโอ่งขนาดใหญ่อีก 1 ใบ ด้วยน้ำใจอันดีงามเขาจึงนำโอ่งใบนั้นไปใส่น้ำให้เหล่าคนเกี่ยวหญ้าของพาราณสีได้ดื่มกินกัน
 
 
มานพหนุ่มอาสาขนต้นไม้ ที่หักโค่นจากลมพายุ
 
มานพหนุ่มอาสาขนต้นไม้ที่หักโค่นจากลมพายุ
 
    ทุกคนซาบซึ้งในน้ำใจของเขาและพร้อมจะให้ความช่วยเหลือทุกครั้งที่เขาต้องการ ถัดจากนั้นอีกไม่กี่วัน มีกองม้าถึง 500_ตัวเข้ามายังพาราณสี ชายหนุ่มจึงขอจองหญ้าจากคนเกี่ยวหญ้าเหล่านั้นไว้ทั้งหมด “ท่านเป็นเจ้าของหญ้าทั้งหมดนี้ใช่หรือไม่ ข้าขอซื้อหญ้าให้ม้าข้ากินหน่อยเถอะ”
 
พ่อค้าฟืนมอบโอ่งให้มานพหนุ่ม 1 ใบ
 
พ่อค้าฟืนมอบโอ่งให้มานพหนุ่ม 1 ใบ
 
“หญ้าทั้งหมดในละแวกนี้เป็นของข้าเอง” ชายหนุ่มได้เงินจากการขายหญ้าทั้งหมด 1000 กหาปณะ แล้วโอกาสในการลงทุนก็เข้ามาหาเขาเอง วันหนึ่งมีเรือสำเภาบรรทุกสินค้าเข้ามาทอดสมอ ชายหนุ่มเห็นเรือเหล่านั้นก็เกิดปัญญาในการลงทุนรีบแต่งกายภูมิฐานแล้วไปเช่ารถม้า
 
มานพหนุ่มซื้อหญ้าทั้งหมด จากคนเกี่ยวหญ้าเพื่อนำไปขายต่อ
 
มานพหนุ่มซื้อหญ้าทั้งหมดจากคนเกี่ยวหญ้าเพื่อนำไปขายต่อ
 
“ลุงข้าขอเช่ารถม้าที่แพงที่สุด” “ได้เลยจ้าพ่อหนุ่ม” มานพหนุ่มได้นำเงินทุนที่มีทั้งหมดไปวางมัดจำสินค้าในเรือบรรทุกสินค้าเหล่านั้นทุกชิ้น “อะไรนะ สินค้าเหล่านี้ถูกท่านจองไว้หมดแล้วเหรอ” “ใช่ถ้าพวกท่านต้องสินค้าไปขายท่านก็ต้องซื้อจากข้า” ภายในวันเดียวชายหนุ่มเจ้าปัญญาก็สามารถหาเงินสดได้ถึง 2 แสน กหาปณะ
 
มานพหนุ่มวางเงินจองสินค้า ทุกชิ้นในเรือบรรทุกสินค้า
 
มานพหนุ่มวางเงินจองสินค้าทุกชิ้นในเรือบรรทุกสินค้า
 
    มานพหนุ่มที่เคยเป็นแค่ชายข้างถนน มาบัดนี้ได้กลายเป็นเศรษฐีและด้วยความกตัญญูรู้คุณ เขาจึงนำเงิน 1 แสน กหาปณะ ไปกราบขอบคุณท่านจุลลกะเศรษฐีผู้ที่ทำให้เขาได้เงินมามากมายจากการเก็บหนูตายบนถนนแค่เพียงตัวเดียว “เจ้าช่างมีน้ำใจดีงามและช่างเป็นคนกตัญญูรู้คุณ
 
มานพหนุ่มกราบขอบคุณท่านจุลลกะเศรษฐี
 
มานพหนุ่มกราบขอบคุณท่านจุลลกะเศรษฐี
  
    ด้วยความดีของเจ้า ข้าจะยกลูกสาวของข้าให้เจ้า ช่วยดูแลลูกสาวของข้าแทนข้าด้วยนะ เหอะๆ” ในกาลต่อมาจุลลกะเศรษฐีก็ได้สิ้นชีวิตไปตามยถากรรม มานพหนุ่มจึงได้แต่งงานครองคู่กับลูกสาวผู้เป็นทายาทเพียงคนเดียวของจุลลกะเศรษฐีอย่างมีความสุขและได้ครอบครองสมบัติทั้งหมดของจุลลกะเศรษฐีสืบต่อไป
 
มานพหนุ่มได้แต่งงานกับลูกสาว ผู้เป็นทายาทเพียงคนเดียว ของจุลลกะเศรษฐี
 
มานพหนุ่มได้แต่งงานกับลูกสาวผู้เป็นทายาทเพียงคนเดียวของจุลลกะเศรษฐี
 
อปฺปเกนปิ เมธาวี ปาภเฏน วิจกฺขโณ    สมุฏฐาเปติ อตฺตานํ อณุ อคฺคีว สนฺธนํ
คนมีปัญญาเฉลียวฉลาด ย่อมตั้งตนได้ด้วยทุนแม้น้อย
ดุจคนก่อไฟน้อยๆ ให้เป็นกองใหญ่ฉะนั้น
 
มานพในครั้งนั้น ต่อมาคือ พระจุลลปันถก
จุลลกเศรษฐีครั้งนั้น คือ พระชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้า