ม้าโภชาชานียะซึ่งมีความเพียรที่ยิ่งใหญ่
พุทธกาลครั้งนั้น ณ เชตวันมหาวิหารในนครสาวัตถี สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระเมตตาธิคุณต่อพระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งกำลังเบื่อหน่ายคลายความเพียรลง ทรงอนุเคราะห์ด้วยพุทธวาจาว่า
พระบรมศาสดาทรงตรัสเล่าชาดก ว่าด้วยความเพียรที่ยิ่งใหญ่
“ดูก่อนภิกษุ บัณฑิตในกาลก่อนนั้นได้ทำความเพียรที่ไม่น่าจะทำได้ แม้ได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงใด ก็มิได้ละความเพียร” แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงระลึกชาติด้วย บุพเพนิวาสนุสติญาณด้วยชาดกขึ้นเรื่องหนึ่ง โภชาชานียชาดก ความเพียรอันยิ่งใหญ่
โภชาชานียะสินธพ ม้ามงคลแห่งนครพาราณสี
โภชาชานียะสินธพ ม้ามงคลแห่งนครพาราณสีได้กระทำความเพียรอันยิ่งใหญ่ แม้ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสแต่ก็ไม่ละความเพียร พระเจ้าพรหมทัตผู้ปกครองนครพาราณสี แผ่นดินอันกว้างใหญ่สมบูรณ์มั่งคั่ง ยากยิ่งจะหาเมืองใดเปรียบ
โภชาชานียะ ถือเป็นสมบัติล้ำค่า ซึ่งเป็นที่หมายปองของเมืองอื่นๆ
นอกจากปราสาทพระราชมณเฑียรอันยิ่งใหญ่แล้ว อาชาสง่างาม นาม “โภชาชานียะ” ก็ถือเป็นสมบัติล้ำค่าที่เจ้าเมืองอื่น ๆ ต้องการหวังครอบครอง โภชาชานียะ ม้าในตระกูลสินธพซึ่งบังเกิดจากพระโพธิสัตว์มีพละกำลังเลิศกว่าม้าทั้งปวง
แม่ทัพผู้ได้ครองโภชาชานียะก็สามารถรบชนะทุกครั้ง
วิ่งเร็วดุจสายฟ้า หากแม่ทัพผู้ใดได้ควบก็สามารถรบชนะได้ทั้งสิบทิศ พละกำลังความสามารถของโภชาชานียะเป็นที่ร่ำลือไปทั่วสารทิศ วันเวลาล่วงเลยผ่านไป พระเจ้าพรหมทัตจากเจ้าเมืองหนุ่มสง่างามก็ร่วงเข้าวัยชรา
ม้าโภชาชานียะมีพละกำลังวิ่งเร็วดุจสายฟ้า
แม่ทัพนายกองคู่พระทัยก็ล้วนแก่เฒ่าลงเช่นกัน เป็นโอกาสให้เจ้านครทั้ง 7_เมืองในชมพูทวีปร่วมมือกันนำทหารเข้าล้อมหวังยึดนครพาราณสี และอาชาโภชาชานียะทรัพย์สมบัติที่มีค่ามหาศาล
พระเจ้าพรหมทัตและแม่ทัพนายกองล้วนย่างเข้าสู่วัยชรา
“เจ้าเมืองทั้ง 7 มีหนังสือแจ้งมาว่า ท่านจะยอมสละราชบัลลังก์แต่โดยดีหรือจะสละด้วยน้ำตา ฮ่าๆๆๆๆ” “เฮ้ย ไอ้ทูตคนนี้ มันกล้าพูดกับพระราชาของเราถึงเพียงนี้เชียวหรือ อวดดีมากไปแล้ว” “หนอย มาคนเดียวยังกล้า” “เสียบมันข้างหลังเลยมั้ยพี่”
เจ้าเมืองทั้ง 7 ส่งฑูตมาเจรจาให้พระเจ้าพรหมทัตสละราชบัลลังก์
“ได้ข่าวว่าท่านมียอด อาชาไม่ใช่หรือ? แน่จริงก็ควบออกไปรบเลยซิ อยากจะเห็นนัก ว่าแน่สักแค่ไหน” “ข้าไม่ยอมให้ใครมารังแกง่าย ๆ หรอก แล้วพวกท่านจะได้เจอดีเหมือนกัน”
ราชฑูตต่างเมืองเจรจาด้วยความโอหัง ไร้ความเคารพยำเกรงต่อพระเจ้าพรหมทัต
หลังจากที่ทูตกลับไป พระเจ้าพรหมทัตทรงเรียกประชุมอำมาตย์ราชมนตรีทั้งหมด “หากปล่อยให้ เจ้าเมืองทั้ง 7_นำทหารมาบุกยึดชาวบ้านต้องบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมากแน่ ๆ พวกท่านว่าควรจะทำอย่างไรดี?” “ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระบาทจะขอสละตัวเองทำลายกองพลทั้ง....ก่อนที่พวกมันจะเข้ามาบุกยึดเมืองเราเองพะย่ะค่ะ”
พระเจ้าพรหมทัตทรงเรียกประชุมอำมาตย์ทั้งเมือง
“ทำเพียงคนเดียวจะรับศึกใหญ่ครั้งนี้ได้รึ?” “ข้าแต่สมมติเทพ ถ้าข้าพระบาทได้ม้าโภชาชานียะแล้วไซร้ พระราชาทั้ง 7 พระองค์ก็มิเกินความสามารถของข้าพระบาทได้หรอกพะย่ะค่ะ” “ถ้าท่านมั่นใจเช่นนั้น ม้าสินธพโภชาชานียะหรือม้าอื่นก็เอาเถิด ชีวิตเราและพาราณสีอยู่กับท่านแล้ว ขอให้มีชัยกลับมาเถิด”
นายทหารนำม้าโภชาชานียะเข้าโจมตีข้าศึก
นายทหารม้านั้น รับพระดำรัสแล้วก็ถวายบังคมพระราชาลงจากปราสาท นำม้าสินธพโภชาชานียะมา แล้วก็ผูกสอดเกราะทุกอย่าง เหน็บพระขันธ์ขึ้นหลังม้าออกจากพระนครไป ประดุจฟ้าแลบ นายทหารม้านำทหารเข้าโจมตีข้าศึกทัพแรกอย่างรวดเร็วและรุนแรงดุจธนูยักษ์
ม้าโภชาชานียะสามารถบุกทะลวงเข้าค่ายข้าศึกได้อย่างง่ายดาย
“เอ้า! บุกเข้าไปพวกเรา จับตัวเจ้าเมืองให้ได้” “เฮ้ย! เจ้าม้า เอ็งมาวิ่งแซงข้าได้ไงว่ะ เอ็งต้องให้ข้านั่งควบไปซิโว้ย” “รอด้วย ม้าข้ามันวิ่งช้า” แค่ชั่วพริบตาเดียว ม้าสินธพโภชาชานียะและนายทหารม้าผู้กล้าหาญ ก็สามารถทะลวงเข้ามากลางค่ายข้าศึกกองทัพแรกได้ และจับเจ้าเมืองมาได้อย่างง่ายดาย
นายทหารนำโภชาชานียะบุกตะลุยค่ายทหารอีก 5 เมือง
“ข้าพระบาท จับตัวเจ้าเมืองกองทัพแรกมาให้แล้วพระเจ้าค่ะ” “เก่งมาก... ขอให้เจ้าโชคดี ได้รับชัยชนะปราบอีก 6 กองทัพให้ได้” เมื่อจับราชาองค์ที่หนึ่งได้และนำเข้าสู่พระนครแล้ว นายทหารม้าและอาชาโภชาชานียะก็บุกตะลุยตีค่ายอื่นๆ ต่อไป จนจับพระราชาได้ถึง 5 พระนคร
โภชาชานียะทำลายกองทัพที่ 6 ได้สำเร็จ
“โอ้ย! มันเก่งจริงๆ เลยว่ะ ไม่น่าเลยเรา ปล่อยเราไปเถอะ เราโดนมันบังคับมา” “ทีตอนนี้มาทำโอดครวญ อยู่ในคุกไปเถอะพวกเจ้า ไปเถอะเจ้าโภชาชานียะ เราไปทำลายกองทัพที่ 6 กันต่อ” นายทหารม้าควบอาชาโภชาชานียะ ต่อสู้กับกองทัพที่ 6 อย่างสุดกำลัง จนสามารถจับตัวพระราชามาได้
พระราชาทั้ง 6 ถูกจับตัวมาขังไว้รวมกัน
แต่อนิจจาการทำศึกกับกองทัพที่ 6 นี้ อาชาโภชาชานียะเสียหลักได้รับบาดเจ็บสาหัส “โธ่เว้ย! เหลืออีกเพียงค่ายเดียวเท่านั้นเอง เฮ้อ! ในเมื่อเจ้าบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ก็พักเถอะ เราจะควบม้าตัวอื่นไปแทนก็ได้
ม้าโภชาชานียะได้รับบาดเจ็บแผลฉกรรจ์
“โอ้โฮ! โดนเยอะเหมือนกันนะเนี่ย มีตั้งหลายแผลแน่ะ” “หือ! เลือดเต็มเลยอ่ะ น่ากลัว...” “เจ้าเนี่ย เป็นทหารเสียเปล่า ใจเสาะจริง ๆ เหอะ ไปดีกว่า เห็นแล้วจะเป็นลม” “เพื่อนเอ๋ย นอกจากเราแล้วไม่มีม้าตัวไหนที่จะพาเจ้าไปทำลายค่ายที่ 7 ของศัตรูได้หรอก”
ม้าโภชาชานียะไม่หวาดหวั่นต่อบาดแผลและอาการบาดเจ็บที่ได้รับ
ถึงแม้อาชาโภชาชานียะจะบาดเจ็บสาหัสเพียงใด แต่ก็ยังมีความเพียรไม่หวาดหวั่นต่อความเจ็บปวด เนื่องด้วยรู้ว่ามีเพียงตนเองเท่านั้นที่จะพานายทหารผู้กล้าออกรบจนชนะได้ “หากว่าเรายอมแพ้ต่อการเจ็บปวดเสียตั้งแต่ตอนนี้ ทัพเราก็คงต้องพ่ายแพ้
ม้าโภชาชานียะอดทนต่อพิษบาดแผล ฮึดสู้จนจับพระราชาคนที่ 7 ได้
พระเจ้าพรหมทัตก็จะเป็นอันตราย เราจะไม่ยอมแพ้ เราจะเพียรพยายามต่อสู้จนชนะข้าศึกทั้งหมดให้ได้ ไปเถอะนักรบผู้กล้า ไปทำลายค่ายที่ 7_ด้วยกัน” อาชาโภชาชานียะ ทนต่ออาการบาดเจ็บ ฮึดสู้จนจับพระราชาได้ เมื่อมาถึงทวารหลวงก็สิ้นแรงล้มลง
โภชาชานียะสิ้นใจลงอย่างสงบ
“โอ้! ไม่ข้าแต่มหาราช พระองค์อย่าทรงฆ่าพระราชาทั้ง 7 เลย จงให้กระทำสาบานแล้วปล่อยไป แม้พระองค์ก็จงทรงบำเพ็ญทาน รักษาศีล ทรงครองราชย์สมบัติโดยธรรมเถิด” ด้วยพระบารมีแห่งพระโพธิสัตว์ คำสั่งเสียในสำนึกของอาชาโภชาชานียะ ก็รู้แจ้งในพระทัยของราชาพรหมทัตทุกประการ
พระเจ้าพรหมทัตทรงครองราชย์โดยทศพิธราชธรรมตลอดพระชนม์ชีพ
เมื่อสั่งเสียเสร็จอาชาโภชาชานีย ก็จากโลกไปอย่างสงบสุข พระเจ้าพรหมทัตโปรดให้ทำพิธีส่งม้าสินธพโภชาชานียะ อย่างสมเกียรติ และได้ประทานยศใหญ่แก่นายทหารม้าและทรงทำตามคำสั่งเสียของอาชาโภชาชานียะ ครองราชย์โดยทศพิธราชธรรมตลอดพระชนม์ชีพ
“ดูก่อนนายสารถี ม้าสินธพอาชาไนยถูกศรแทงแล้ว
แม้นอนตะแคงอยู่ข้างเดียวก็ยังประเสริฐกว่าม้าสามัญ
ท่านจงประกอบการรบให้สำเร็จเถิด”
พระเจ้าพรหมทัต ต่อมาเป็น พระอานนท์
แม่ทัพม้า ต่อมาเป็น พระสารีบุตร
ม้าโภชาชานีย คือ อดีตชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้า