น ตํ ทฬฺหํ พนฺธนมาหุ ธีรา...
ปุตฺเตสุ ทาเรสุ จ ยา อเปกฺขา ฯ
เอตํ ทฬฺหํ พนฺธนมาหุ ธีรา
โอหารินํ สิถิลทุปฺปมุญฺจํ
เอตมฺปิ เฉตฺวาน วชนฺติ ธีรา
อนเปกฺขิโน กามสุขํ ปหายาติ ฯ
ความนำ
พระพุทธเจ้าทรงอาศัยพระนครสาวัตถี ประทับอยู่ ณ วัดพระเชตวัน ทรงปรารภนักโทษที่ติดคุกในเรือนจำ ได้ตรัสพระธรรมเทศนาคือคาถาที่ปรากฏ ณ เบื้องต้น
ปัจจุบันชาติ
มีเรื่องเล่ามาว่า ในครั้งนั้น พวกราชบุรุษได้จับพวกโจรผู้โหดร้ายคอยชิงทรัพย์และฆ่าเจ้าทรัพย์นำตัวไปถวายพระเจ้าโกศล พระราชามีรับสั่งให้จองจำพวกโจรเหล่านั้นด้วยเครื่องจองจำคือ ขื่อคา เชือก และโซ่ เป็นต้น
ต่อมา มีภิกษุชาวชนบทประมาณ ๓๐ รูป ประสงค์จะเฝ้าพระบรมศาสดา จึงพากันเดินทางมาเพื่อถวายบังคม รุ่งเช้า ภิกษุทั้งหมดได้ออกบิณฑบาตเดินทางผ่านเรือนจำเห็นพวกโจรเหล่านั้นกำลังถูกจองจำอยู่ เมื่อกลับจากบิณฑบาต ในเวลาเย็นได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์และได้กราบทูลว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันนี้ พวกข้าพระพุทธเจ้ากำลังออกบิณฑบาตได้พบพวกโจรมากมายถูกจองจำด้วยขื่อคาเป็นต้นในเรือนจำได้รับทุกขเวทนามากมาย พวกโจรเหล่านั้นไม่สามารถจะตัดทำลายเครื่องจองจำเหล่านั้นแล้วหนีไปได้เลย ในโลกนี้ยังจะมีเครื่องจองจำ อื่นที่ยังมั่นคงกว่าเครื่องจองจำเหล่านี้อีกหรือไม่ พระเจ้าข้า”
พระพุทธองค์ตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เครื่องจองจำเหล่านั้นจะชื่อว่าเป็นเครื่องจองจำได้อย่างไรกัน ส่วนเครื่องจองจำคือกิเลสได้แก่ ตัณหาในทรัพย์ ข้าวเปลือก บุตรภรรยา เป็นต้น ทั้งหมดนี่แหละมั่นคงยิ่งกว่าเครื่องจองจำเหล่านั้นตั้งร้อยเท่าพันเท่า แต่เครื่องจองจำเหล่านั้นแม้จะใหญ่หลวงตัดได้ยากเพียงใด ก็เคยมีบัณฑิตในสมัยก่อนผู้สามารถตัดได้แล้วหนีไปบวชที่หิมวันตประเทศ”
จากนั้น ได้ทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่าให้ฟังดังต่อไปนี้
อดีตชาติเนื้อหาชาดก
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี ได้มีคหบดียากจนตระกูลหนึ่ง เมื่อเขาโตขึ้นบิดาได้ถึงแก่กรรมลง เขาได้ประกอบอาชีพรับจ้างเลี้ยงดูมารดาผู้แก่ชรา
ต่อมา มารดาได้ไปขอธิดาจากตระกูลหนึ่งมาให้บุตรชายทั้ง ๆ ที่เขาไม่มีความต้องการแต่อย่างใด เวลาผ่านไป มารดาก็ตายจากเขาไปอีกคนหนึ่ง
ไม่นานนัก ภรรยาของเขาก็ตั้งครรภ์ เขาไม่รู้ว่าภรรยากำลังตั้งครรภ์จึงบอกนางว่า “น้องเอ๋ย น้องจงรับจ้างเขาเลี้ยงตนเองเถิด พี่จักไปบวช”
นางได้ฟังก็ตกใจรีบบอกสามีทันทีว่า “พี่จ๋า น้องกำลังตั้งท้อง เอาไว้ให้น้องคลอดลูกแล้ว พี่ได้เห็นหน้าลูกแล้วค่อยบวชเถิด”
สามีจึงอดทนรอคอย ในที่สุด นางก็ได้คลอดลูก เมื่อเขาจะลานางออกบวชอีก นางก็เหนี่ยวรั้งเขาไว้ด้วยการบอกว่า “พี่จ๋า อย่าพึ่งบวชเลย เอาไว้ให้ลูกของเราหย่านมก่อนเถิด” ไม่นานนัก นางก็ตั้งครรภ์ลูกคนที่ ๒ อีก
ฝ่ายสามีจึงคิดในใจว่า ถ้าเราบอกลา นางคงผัดผ่อนไปเรื่อย ๆ จนลูกโตเป็นหนุ่มเราก็คงไม่ได้บวชเสียที เราควรหนีไปบวชจะดีกว่า พอตกกลางคืน ในขณะที่นางกำลังหลับอยู่ก็หนีออกไปบวชทันที
ครั้งนั้น เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลพระนครจับตัวเขาไว้ได้ เขาจึงบอกว่า “เจ้านายครับ ผมเป็นคนเลี้ยงดูบิดามารดา โปรดปล่อยผมไปเถิด” เมื่อถูกปล่อยตัว เขาก็รีบออกไปทางประตูใหญ่ที่เปิดแล้วมุ่งหน้าเข้าไปในป่าหิมพานต์บวชเป็นฤาษีทำฌานและอภิญญาให้บังเกิด มีความสุขเพลิดเพลินอยู่ในฌาน
ฤาษีเมื่ออยู่ในที่นั้นได้เปล่งอุทานว่า “เราได้ตัดเครื่องจองจำคือบุตรภรรยาอันเป็นเครื่องจองจำที่ตัดได้ยากเหลือเกิน” จากนั้นได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
เครื่องผูกอันใดที่ทำด้วยเหล็กก็ดี
ทำด้วยไม้ก็ดี ทำด้วยหญ้าปล้องก็ดี
นักปราชญ์ทั้งหลายไม่กล่าวเครื่องผูกนั้นว่า
เป็นเครื่องผูกอันมั่นคง ส่วนความกำหนัดยินดี
ในแก้วมณีและกุณฑลก็ดี ความห่วงใยในบุตรและภรรยาก็ดี
นักปราชญ์กล่าวเครื่องผูกนั้นว่า เป็นเครื่องผูกอันมั่นคง
ที่ทำให้สัตว์ต้องตกต่ำ ย่อหย่อน แก้ได้ยาก แม้เครื่องผูกนั้น
นักปราชญ์ก็ตัดได้ไม่มีความห่วงใย ละกามสุข หลีกออกไปได้
ความหมายของคาถา
ฤาษีได้เปล่งอุทานเพื่อต้องการอธิบายให้ทราบดังนี้ว่า นักปราชญ์ผู้ตัดเครื่องผูกที่ตัดได้ยากก็คือ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระสาวกของพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย
เครื่องจองจำในโลกนี้เป็นเครื่องจองจำได้แต่เพียงกายเท่านั้น แต่ไม่สามารถขังใจที่มุ่งแสวงหาเสรีภาพได้ ส่วนเครื่องจองจำคือกิเลสนั้นแม้เกิดขึ้นคราวเดียวด้วยอำนาจแห่งตัณหาและโลภะย่อมแก้ให้หลุดได้ยากเหลือเกินเหมือนเต่าไม่สามารถดิ้นหลุดจากเครื่องผูกได้เลย
ส่วนนักปราชญ์ทั้งหลายตัดเครื่องจองจำคือกิเลสเหล่านั้นได้ด้วยพระขรรค์คือญาณ ตัดห่วงเหล็กเหมือนช้างตกมันสลัดโซ่ที่พันธนาการ เหมือนราชสีห์หนุ่มทำลายซี่กรงที่ขังตนไว้ รังเกียจวัตถุกามและกิเลสกาม เหมือนรู้สึกขยะแขยงพื้นที่เต็มไปด้วยของสกปรก ไม่มีความห่วงใยละกามสุขออกไปบวชเป็นฤาษีในป่าหิมพานต์ทำตนให้มีความสุขอันเกิดจากฌาน
ฤาษีนั้นครั้นเปล่งอุทานอย่างนี้แล้วมีฌานไม่เสื่อมมีพรหมโลกเป็นที่ไปในเบื้องหน้า
ประชุมชาดก
พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม ในเวลาจบสัจธรรม ภิกษุบางพวกได้เป็นโสดาบัน จนถึงอรหันต์ ทรงประชุมชาดกว่า “มารดาในครั้งนั้นได้เป็นพระนางมหามายาเทวีในครั้งนี้ บิดาได้เป็นพระเจ้าสุทโธทนะมหาราช ภรรยาได้เป็นมารดาพระราหุล ส่วนบุรุษผู้ละบุตรและภรรยาออกบวชคือตัวเราตถาคตนั้นเอง”